“จิต” คือ ทุกอย่าง
ทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี แต่ในฐานะชาวพุทธ วันนี้ผมจะมาอธิบายว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าเปลี่ยนชีวิตผมและคนอื่นๆที่ประสบความสำเร็จอย่างไร
จิตคือทุกสิ่ง จิตคือทุกอย่าง (Everything begins and ends in the mind)
“The mind is everything. What you think you become” – พระพุทธเจ้า
ความหมายของประโยคนี้ คือ “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว ถ้าเราคิดอย่างไร เราก็จะกลายเป็นคนเช่นนั้น”
เมื่อเราเครียดหรือเศร้าไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลอะไร มันเกิดขึ้นเพราะเรายังไม่รู้ว่าต้องควบคุมอารมณ์อย่างไร เราจึงเป็นเหมือนต้นไม้ที่เอนไปตามทิศทางลม แต่รู้ไหมครับว่า ถ้าทุกคนเลือกได้ เราเลือกที่จะมีความสุขทุกครั้ง
พระพุทธเจ้าเชื่อและสอนว่า ชีวิตที่ดีที่สุด คือ ชีวิตที่ไม่ทุกข์และไม่ทรมาณทั้งทายกายและจิตใจ แต่…เรามักจะมองหาปัจจัยภายนอกมาทำให้เรามีความสุข มากกว่าที่จะมองกลับเข้ามาหาตัวเอง ว่าจริงๆแล้วเราต้องการอะไรกันแน่
เราเชื่อว่าสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข คือ หน้าตาดี มีเงิน บ้าน หน้าที่การงานที่ดี รถหรูๆ เพื่อนดีๆ และเสื้อผ้าสวยๆ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขแค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะถ้าสิ่งของนอกกายเหล่านี้คือคำตอบ เราคงไม่เห็นดาราหรือคนดังที่มีพร้อมทุกอย่างจบชีวิตตัวเอง ว่าไหมครับ?
จริงอยู่ที่ว่า อาหารที่อร่อยและเงินที่มีเหลือใช้ ทำให้เรามีความสุขได้ แต่มันไม่ใช่ต้นเหตุของความสุข มันเป็นแค่ “สิ่งนั้น” ที่ทำให้เรามีความสุข คนเราทุกคนชอบอาหารที่อร่อย อาหารจึงไม่ใช่แค่สิ่งที่ทำให้อิ่มท้องเท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข คลายเครียด และทำให้เราป่วย ทรมาณ และตายได้เหมือนกัน
ทุกวันนี้ “ความเห็นแก่ตัว” เกิดขึ้นโดยที่เราไม่เคยรู้ตัวเลยด้วยซ้ำ เราไม่อยากแค่มีหุ่นที่ดีกว่าเพื่อนบ้านเท่านั้น แต่เราอยากมีหุ่นเหมือนดารา เราอยากให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ความเป็นจริง คือ แม้แต่คนที่เราคิดว่ามีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ก็มีความทุกข์และปัญหาเหมือนกับเราเช่นกัน
ผมเชื่อว่าหลายคนคงเคยคิดหนักเลยว่า “ความสุข” จริงๆแล้วคืออะไรกันแน่ เพราะเราเสพติดสิ่งที่อยู่นอกกาย จนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรที่เป็นเหตุที่ทำให้เรามีความสุขที่แท้จริง แต่เราอย่าไปโทษการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับคนและสิ่งของในยุคนี้ครับ เราต้องมาอยู่ในโลกของเรา มองเข้าไปในจิตใจลึกๆ เพราะอวัยวะที่ 33 นี้ มีพลังงานมากกว่าที่เราคิด
“จิต คือ ทุกอย่าง” เมื่อเราเจอเหตุการณ์ที่ไม่ดี เมื่อหลายสิ่งในชีวิตไม่เป็นอย่างที่หวัง หรือเมื่อเราทุกข์ เรามักจะมองเหตุการณ์เหล่านี้ว่าเป็นปัญหา แต่ในความเป็นจริง คือ ปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิต เกิดขึ้นในจิตเราทั้งนั้น
คน 2 คน เจอปัญหาเหมือนกัน แต่อาจจะคิดไม่เหมือนกันเลยก็ได้ เช่น ถ้าโดนรถอีกคันตัดหน้า นาย ก. อาจจะตะโกนด่า บีบแตร และไล่กวดไปเอาเรื่อง แต่นาย ข. อาจจะคิดว่า คนนั้นอาจจะรีบเพราะมีธุระด่วน หรืออาจจะมองไม่เห็นก็ได้ แล้วเราคิดว่าคนไหนจะมีความทุกข์มากกว่ากันครับ? จิตที่บวกจะมีความสุขเสมอ
คนที่ประสบความสำเร็จทุกคน พอเจอปัญหาเขาจะคิดตลอดว่า “เราเรียนรู้อะไรได้บ้างจากเหตุการณ์นี้?” ถ้าเขาเผลอคิดลบไป เขาก็จะดึงตัวเองกลับมาและบอกว่า “เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์เป็นเรื่องดีเสมอ ถ้าจิตเราเป็นบวก”
ประเด็น คือ ถ้าเราอยากมีชีวิตที่ไม่มีความเครียด ปัญหา หรืออุปสรรคที่ทำให้เราเป็นในสิ่งที่เราอยากเป็นไม่ได้ เราต้องเรียนรู้การควบคุมจิต ทุกอย่างเริ่มต้นจากจิต ทุกอย่างจบลงด้วยจิตเหมือนกัน
สุขภาพกายและสุขภาพใจ (Mind & Body)
ในส่วนของการลดน้ำหนัก การลดไขมัน และการดูแลสุขภาพ คนที่มีจิตที่เข้มแข็งและแน่วแน่เท่านั้น ถึงจะไปถึงเป้าหมายได้
เพราะธรรมชาติของคนเรา ไม่ชอบที่จะเปลี่ยน หรือออกมาจาก “Comfort Zone” เช่น ในวันหยุดเสาร์อาทิตย์เคยกินฟาสต์ฟู้ดทุกครั้ง จากนั้น 4 ทุ่ม เข้าร้านสะดวกซื้อหาของกิน เราก็จะทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เป็นต้น
นี่ก็คือ จิต หรืออาจจะเรียกว่า “นิสัย” หรือ “การเสพติดอาหาร” มันคือเหตุผลว่าทำไม คนส่วนใหญ่ถึงอ้วนและเป็นโรคเบาหวานและความดันกันเยอะขึ้นเรื่อยๆ
คำถามคือ “มันยากแค่ไหนที่คนๆหนึ่งจะหันมารักสุขภาพ?” เพราะปัญหาสุขภาพที่เกิดจากโรคอ้วนมีมากขึ้นเรื่อยๆ ปีนี้ 1 ใน 2 ของเด็กไทยจะเป็นเด็กอ้วนที่เป็นโรคเบาหวาน
ถึงแม้เราจะมียาหรือเทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่ปัญหาสุขภาพก็ยังอยู่เหมือนเดิม นั่นเป็นเพราะว่าเราไม่ยอมเปลี่ยนที่ตัวเราเอง หรือเปลี่ยนที่ “จิต” นั่นเอง
สำหรับผม การออกกำลังกายและเปลี่ยนการกินอาหารเป็นเรื่องที่ท้าทายที่สุด แต่ผลลัพท์ที่ได้ก็เป็นรางวัลที่เปรียบเทียบมูลค่าไม่ได้เหมือนกัน
ผมก็เจอปัญหาเหมือนกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่จำกัด ความรับผิดชอบที่มากขึ้น อาการบาดเจ็บที่ไม่คาดคิด และความท้อ โดยเฉพาะตอนเห็นหุ่นคนอื่นใน Instagram แต่ผมรู้ว่ามีแต่ความพยายามและจิตที่ไม่ยอมแพ้เท่านั้น ที่จะช่วยให้ผมฝ่าฟันอุปสรรคไปได้
ผมได้อ่านประวัติของ Sir Roger Bannister และพบว่าเขาคือผู้ชายคนแรกในโลกที่วิ่งในระยะทาง 1 ไมล์ โดยใช้เวลาน้อยกว่า 4 นาที! ฟังดูตอนนี้อาจจะไม่น่าทึ่งเท่าไหร่ เพราะทุกวันนี้ใครๆก็ทำได้
แต่ในปี 1954 นักวิทยาศาสตร์บอกว่า ถ้ามนุษย์วิ่ง 1 ไมล์โดยใช้เวลาต่ำกว่า 4 นาที หัวใจและเส้นเลือดอาจจะแตกและเสียชีวิตได้ บทสัมภาษณ์ที่ผมจำไม่ลืมเลย คือ ตอนที่ Sir Roger บอกว่า “ผมจินตนาการณ์ไว้ก่อนวิ่งว่า ผมเข้าเส้นชัยที่เวลา 3 นาที 59 วินาที”
อย่าลืมนะครับว่าตอนนั้น ทุกคนบนโลกไม่มีใครวิ่งได้ต่ำกว่า 4 นาที และทุกคนก็เชื่อด้วยว่า ถ้าวิ่งต่ำกว่า 4 นาที เราจะตาย! ถ้าเรามีจิตที่เข้มแข็งเหมือน Sir Roger ลองคิดดูสิครับ เราจะประสบความสำเร็จในด้านไหนบ้าง?
ประเด็น คือ ไม่มีใครเปลี่ยนจิตเราได้ นอกจากตัวเราเอง ดั่งคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า “No one saves us but ourselves. No one can and no one may. We ourselves must walk the path”
เมื่อไหร่ที่เรารู้ว่าไม่มีใครที่จะมาช่วยเรา หรือถ้ามีเขาก็ไม่สามารถช่วยเราได้ เพราะจิตมีแต่เราเท่านั้นที่ควบคุมได้ เราต้องลงมือทำเอง เมื่อนั้นทั้งจิตและร่างกายเราก็จะพัฒนาไปในทางที่ดี ชีวิตมีความสุขมากขึ้น และความทุกข์ก็จะค่อยๆหายไปครับ