ลดไขมันดื้อด้าน ที่สะโพก & ขา ด้วย IF 16/8
ไขมันดื้อด้าน (Stubborn Body Fat) เป็นไขมันชนิดที่เผาผลาญออกยากที่สุด ถึงแม้ว่าเราจะกระหน่ำออกกำลังกายหนักแค่ไหน แต่ผู้หญิงก็ยังมีไขมันที่ร่างกายส่วนล่าง (Lower Body Part) โดยเฉพาะที่สะโพก พุง และขา
ในบทความนี้ ผมโค้ชเค จะพาทุกคนไปดูว่า ไขมันดื้อด้านคืออะไร สามารถกำจัดด้วย IF 16/8 ได้หรือเปล่า ตามมาเลยครับ
ไขมันดื้อด้าน (Stubborn Body Fat) คืออะไร?
ไขมันดื้อด้าน (Stubborn Body Fat) คือ ส่วนของไขมันที่ร่างกายจะเผาผลาญออกมาเป็นอันดับสุดท้าย สำหรับผู้หญิงนั่นก็คือ ร่างกายส่วนล่างที่ผมเกริ่นไปครับ เพราะการลดไขมันจากส่วนนี้ ถือว่ายากมาก
สาวๆหลายคนมีปัญหาสะสมไขมันที่ช่วงขา ทำให้ขาใหญ่ จนรู้สึกใส่เสื้อผ้าแล้วไม่สวย ไม่มีความมั่นใจ
ทำไมไขมันดื้อด้านถึงลดยากกว่าไขมันชนิดอื่น?
การที่จะตอบคำถามนี้ เราต้องมาดูหลักการสร้าง เก็บ และเผาผลาญไขมันเบื้องต้นกันก่อนครับ
นึกภาพตามนะครับ หลังจากที่เรากินอาหารเข้าไป ฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) และกรดไขมัน (Fatty Acids) จะมีระดับสูงขึ้นทันที
ร่างกายเราจะอยู่ในช่วงที่รับอาหารเข้าไป (Fed State) ระหว่างนี้จะไม่มีการเผาผลาญไขมันแม้แต่นิดเดียว เพราะร่างกายจะต้องเปลี่ยนอาหาร ให้เป็นน้ำตาลกลูโคส (Glucose Oxidation) เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงาน
กระบวนการนี้จะมีต่อเนื่องได้นานถึง 1.5-2 ชั่วโมงหลังจากที่เรากินอาหารเสร็จ นี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไม เราควรออกกำลังกาย 2-3 ชั่วโมงหลังจากที่กินอาหารเสร็จครับ
เมื่อเวลาผ่านไปนานกว่า 2-3 ชั่วโมง สารอาหารต่างๆก็จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายจนหมด ระดับฮอร์โมนอินซูลิน และกรดไขมันก็จะลดลงตามมาด้วย
ทีนี้ กระบวนการเผาผลาญไขมันก็จะค่อยๆเริ่มขึ้น เพราะสมองเริ่มได้รับสัญญาณแล้วว่า พลังงานที่ได้จากอาหารได้เริ่มลดลงแล้ว
ฮอร์โมนที่จะมีระดับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และถูกหลั่งออกมาในการเผาผลาญไขมัน คือ ฮอร์โมนแคททีโคลามีน (Catecholamines Hormones) ซึ่งเป็นกลุ่มฮอร์โมนที่ผลิตที่ต่อมหมวกไต และมี อะดรีนาลีน (Adrenaline) และ นอร์อะดรีนาลีน (Noradrenaline) เป็นหลัก
จำชื่อ ฮอร์โมนแคททีโคลามีน (Catecholamines Hormones) ไว้ให้ดีนะครับ เพราะผมจะอธิบายว่า มันมีส่วนสำคัญในการเผาผลาญไขมันอย่างไร
กระบวนการเผาผลาญไขมัน ของร่างกาย
ขั้นตอนที่ 1
ฮอร์โมนแคททีโคลามีนจะเดินทางไปในกระแสเลือด แล้วไปเชื่อมต่อตัวรับสัญญาณ (Receptors) ที่เซลล์ไขมัน
เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ให้คิดว่าตัวรับสัญญาณของเซลล์ในร่างกาย หรือ “Receptor” เป็นเหมือน “แม่กุญแจ” ที่ล็อคเซลล์ไว้
ส่วนฮอร์โมน (Hormones) และสารสื่อประสาท (Neurotransmitters) ต่างๆ เป็นเหมือน “กุญแจ” ที่จะไปเปิดล็อค หรือทำให้เกิดปฏิกิริยาต่างๆนั่นเอง
ขั้นตอนที่ 2
ในกรณีของฮอร์โมนแคททีโคลามีนจะไปปลอดล็อกเซลล์ไขมัน และกระตุ้นให้ฮอร์โมนที่มีชื่อว่า “Hormone Sensitive Lipase (HSL)” เพื่อเริ่มกระบวนการเผาผลาญไขมัน
ขั้นตอนที่ 3
ซึ่งฮอร์โมน HSL นี้แหละครับ คือ ตัวที่จะดึงกรดไขมันอิสระ (Free Fatty Acids) ออกมาจากเซลล์ไขมัน เข้าสู่กระแสเลือด และเผาผลาญไปเป็นพลังงาน
ทำไมผู้หญิงถึงลดไขมันดื้อด้านยากกว่าผู้ชาย?
ประเด็น คือ ไขมันในแต่ละส่วนของร่างกาย จะมีอัตราการเผาผลาญออกจากร่างกายที่ต่างกัน ปัจจัยหลักที่มีผลต่ออัตราการเผาผลาญไขมัน คือ ตัวรับสัญญาณ 2 ชนิดที่เซลล์ไขมัน
- ตัวรับสัญญาณ Beta-2 Receptor
- ตัวรับสัญญาณ Alpha-2 Receptor
ยิ่งเซลล์ไขมันมี Beta-2 Receptor มากเท่าไหร่ ร่างกายก็จะยิ่งสามารถเผาผลาญออกไปได้เร็วและมากขึ้นเท่านั้น
ในทางกลับกัน ถ้าเซลล์ไขมันมี Alpha-2 Receptor มากกว่า Beta-2 Receptor เซลล์ไขมันในส่วนนี้จะเผาผลาญออกยากมาก
ตอนนี้คงเดาออกแล้วนะครับว่า ไขมันดื้อด้านมี Alpha-2 Receptor มากกว่า Beta-2 Receptor
และที่สำคัญ เซลล์ไขมันของผู้หญิงในส่วนของ สะโพก (Hip) และ ต้นขา (Thighs) จะมี Alpha-2 Receptor มากกว่าปรกติถึง 9 เท่า!
นี่แหละครับ คือ เหตุผลที่ว่าทำไมผู้หญิงถึงลดไขมันในช่วงล่างของลำตัวยากมากๆ
Intermittent Fasting ช่วยลดไขมันดื้อด้านได้อย่างไร?
การที่จะเผาผลาญไขมันดื้อด้าน ในส่วนของสะโพกและขานั้น เราต้องกระตุ้นให้ Beta-2 Receptor ทำงานมากขึ้น และหยุดหรือลดการทำงานของ Alpha-2 Receptor
ซึ่ง Intermittent Fasting จะช่วยให้กระบวนการนี้เกิดขึ้นได้ ด้วย 4 วิธีนี้ครับ
1. การทำ Intermittent Fasting จะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนแคททีโคลามีนมากขึ้น
ซึ่งอย่างที่เกริ่นไปว่า กลุ่มฮอร์โมนนี้จะเข้าไปกระตุ้นให้ Hormone Sensitive Lipase เขาไปดึง กรดไขมันอิสระ (FFA) ออกมาเผาผลาญเป็นพลังงาน
2. การทำ Intermittent Fasting จะกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Blood Flow)
นั่นหมายความว่าฮอร์โมนแคททีโคลามีน จะเดินทางไปหาตัวรับสัญญาณ “Receptor” ของเซลล์ไขมันดื้อด้านได้ดีขึ้น
3. การทำ Intermittent Fasting จะลดการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินออกมา
ทำให้ ตัวรับสัญญาณ Alpha-2 Receptor ไม่ทำงาน ยิ่งเราอยู่ในช่วง Fasting ที่ไม่กินอะไรเลยนานๆ (14-18 ชั่วโมง) ร่างกายยิ่งมีเวลาในการดึงไขมันดื้อด้านออกมาเผาผลาญมากขึ้น
ตอนนี้คุณอาจจะคิดว่า “ถ้าอินซูลินเป็นตัวปัญหาทำให้การเผาผลาญไขมันหยุดไป ทำไมไม่กินคีโตให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย?”
ที่ผมไม่อยากแนะนำให้กินคีโตเพราะว่า ไขมันที่เรียกว่า ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) ก็สามารถยับยั้งการทำงานของ Hormone Sensitive Lipase ได้เหมือนกันกับอินซูลินเลย
ดังนั้นการ Fasting จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด สำหรับการลดไขมันดื้อด้านครับ
4. การ Fasting ที่อดอาหารเป็นเวลา 12-18 ชั่วโมง คือ ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด
เพราะระหว่างนี้
- ฮอร์โมนแคททีโคลามีนมีระดับสูงขึ้น ทำให้ Hormone Sensitive Lipase มีระดังสูงขึ้นไปด้วย
- การไหลเวียนโลหิตในส่วนของไขมันดื้อด้านมีความคล่องตัวมากขึ้น ทำให้ฮอร์โมนแคททีโคลามีน เดินไปไปหาไขมันส่วนนี้ได้เร็วและมากขึ้น
- ระดับฮอร์โมนอินซูลินจะอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ Alpha-2 Receptor ไม่ทำงาน
คำแนะนำจากโค้ชเค (Take Home Message)
ผมไม่แนะนำให้ทำ Fasting หรืออดอาหารนานกว่านี้ครับ แน่นอนว่าร่างกายเราจะเผาผลาญไขมันมากขึ้น แต่มันไม่ใช่ไขมันในดื้อด้าน หรือไขมันในส่วนที่เราอยากเผาผลาญ (1)
ถ้าเรา Fasting นานกว่านี้ ไขมันที่มวลกล้ามเนื้อ (Intramuscular Fat) จะถูกเผาผลาญออกไปด้วย แต่ไขมันใต้ผิวหนัง หรือไขมันดื้อด้านจะไม่ได้ถูกเผาผลาญออกไป
พยายามทำ Fasting หรืออดอาหารแค่ 14-18 ชั่วโมง ควบคุมแคลอรี่ให้พอดี ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับการทำ IF 16/8 แค่นี้ร่างกายเราก็จะเริ่มดึงไขมันออกมาใช้แล้วครับ
ถ้าชอบบทความนี้ อย่าลืมกด Share ด้วยนะครับ
ไม่พลาดคอนเทนต์ดีๆ Follow Us ตามช่องทางด้านล่างเลยครับ
LINE Official: @fitterminal | Fitterminal (YouTube) | Fitterminal Facebook | Fitterminal Instagram | Fitterminal.com