3 วิธีไดเอท ที่ไม่ได้ช่วยลดไขมันได้เร็วขึ้น
สวัสดีครับ โค้ชเค Fitterminal.com
เพื่อนๆรู้ไหมครับว่า วิธีไดเอทหรือการกินอาหารเพื่อลดน้ำหนัก อาจจะไม่ได้อันตราย หรือส่งผลเสียกับร่างกาย แต่พอเราหลงเชื่อแล้ว มันอาจจะทำให้เราเสียเวลาไปกับการลดไขมันที่ไม่ได้ผล และทำให้เราหมดกำลังใจได้
แถมพอน้ำหนักและไขมันไม่ลดลงตามเป้า เราอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าระบบเผาผลาญเราพัง เริ่มสับสนว่าต้องกินน้อยลงมากกว่าเดิมไหม หรือเราต้องทำอะไรผิดแน่ๆ
วันนี้ ผมโค้ชเค เลยจะพาทุกคนไปดู 3 สูตรไดเอท ที่อาจจะไม่ได้ช่วยให้เราลดน้ำหนัก และลดไขมันได้เร็วขึ้น และจะมีทิปส์ดีๆมาแนะนำเช่นเคย ตามมาเลยครับ
3 วิธีไดเอท ที่อาจจะไม่ได้ผล
อย่างที่เกริ่นไปว่า สูตรและวิธีลดน้ำหนักที่เราเห็นในออนไลน์ ที่บอกว่าทำแล้วได้ผล หรือเป็นที่นิยมในกลุ่มคนดัง จริงๆแล้ว มันอาจจะไม่เหมาะกับเรา ไม่ให้ช่วยให้เราลดน้ำหนักและลดไขมันได้เร็วขึ้น และอาจจะเสียเวลาเปล่าได้
1. การกินพืช 100% หรือ Plant-based Diet
จริงๆอยู่ว่า การกินพืช โดยเฉพาะผักและผลไม้เยอะๆ จะช่วยให้ร่างกายเราได้รับไฟเบอร์ วิตามินซี วิตามินดี และแม็กนีเซียม มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม และการลดน้ำหนักในทางอ้อมได้ (1, 2)
แต่การที่เรากินพืช 100% หรือกินอาหารแบบ Plant-based ที่ตัดอาหารจากเนื้อสัตว์ทุกชนิดไปเลย อาจจะไม่ใช่วิธีลดน้ำหนัก และลดไขมันที่ได้ผลและดีที่สุดในระยะยาว
นักวิจัยชาวฟินแลนด์ ได้ทำการทดลองโดยแบ่งผู้เข้าทดลองออกเป็น 3 กลุ่ม นั่นคือ (3)
- กลุ่มที่ 1 จะกินอาหาร 1,200 แคลอรี่ แบบ Lacto Vegetarian ซึ่งจะงดกินเนื้อสัตว์ทุกชนิด แต่ยังจะกินผลิตภัณฑ์นมอยู่ เช่น โยเกิร์ต และนมวัว เป็นต้น
- กลุ่มที่ 2 จะกินอาหารทั้ง 2 แบบผสมกัน หรือ Mixed Diet นั่นคือ พวกเขาจะกินทั้งเนื้อสัตว์ และพืชไปพร้อมกัน และได้รับพลังงานเท่ากันที่ 1,200 แคลอรี่
- และกลุ่มที่ 3 จะเป็นกลุ่มควบคุม หรือ Control Group ที่จะกินอาหารแบบปรกติ
หลังจบการทดลองที่ใช้เวลา 12 เดือน พบว่า
- กลุ่มที่ 1 สามารถลดน้ำหนักได้ 9.2 กิโลกรัม
- กลุ่มที่ 2 ลดน้ำหนักได้ 10.4 กิโลกรัม แถมยังมีระดับความดันโลหิตลดลง และไขมันที่แขนก็ลดลงมากกว่าด้วย
- กลุ่มที่ 3 จะลดน้ำหนักไม่ได้ และมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 1.6 กิโลกรัม
ซึ่งเราจะเห็นว่า ถ้าดูในแง่ของการลดนำ้หนักและการลดไขมัน การกินพืช 100% อาจจะไม่ได้ดีกว่า
ต่อมา นักวิจัยจาก Purdue University ได้แบ่งผู้เข้าทดลอง ที่เป็นผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ออกเป็น 4 กลุ่ม
ซึ่ง ผู้เข้าทดลอง 3 กลุ่มแรก จะได้รับพลังงานจากอาหารวันละ 1,000 แคลอรี่ จากการไดเอท แบบ Lacto-ovo-vetgetarian ที่จะเน้นกินผัก ผลไม้ ถั่วแห้ง หรือ Legumes ผลิตภัณฑ์นม และไข่
ทีนี้ ความแตกต่างจะอยู่ตรงที่ ผู้เข้าทดลองจะกินอาหารเพิ่มอีก 250 แคลอรี่ ซึ่งพลังงานแคลอรี่ จะมาจาก 3 แหล่งอาหาร นั่นคือ กลุ่มที่ 1 จะกินเนื้อวัว กลุ่มที่ 2 จะกินเนื้อไก่ และกลุ่มที่ 3 จะกินอาหารที่มีแค่คาร์โบไฮเดรต และไขมัน
ส่วนกลุ่มที่ 4 จะเป็น Control Group ที่จะกินอาหารปรกติที่เคยกินมาครับ
หลังจบการทดลองที่ใช้เวลา 9 อาทิตย์ ผู้เข้าทดลองทั้ง 3 กลุ่มแรก จะสามารถลดน้ำหนัก และลดไขมันในร่างกายได้ใกล้เคียงกัน นั่นคือ
- กลุ่มที่กินไก่ จะลดน้ำหนักลดน้ำหนักได้เฉลี่ย 7.9 กิโลกรัม
- กลุ่มที่กินเนื้อวัว จะลดน้ำหนักได้ 6.6 กิโลกรัม
- กลุ่มที่ 3 จะลดน้ำหนักได้ 5.6 กิโลกรัม (4)
นอกจากนี้ นักวิจัยจากประเทศสกอตแลนด์ ได้ให้ผู้เข้าทดลองกินน้อยกว่าที่ร่างกายเผาผลาญ เพื่อลดน้ำหนัก เป็นเวลา 12 อาทิตย์ และกินอาหารปรกติเท่ากับอัตราการเผาผลาญอีก 12 อาทิตย์ เท่ากัน พบว่า การกินหรือไม่กินเนื้อสัตว์ จะไม่มีผลต่ออัตราการลดน้ำหนักที่วัดผลในอาทิตย์ที่ 12 และอาทิตย์ที่ 24 เลย
นักวิจัยจึงสรุปมาชัดเจนว่า การลดน้ำหนักลดไขมันให้ได้ผลดี เราไม่จำเป็นต้องงดกินเนื้อสัตว์ หรือต้องกินพืชเพียงอย่าเงดียวครับ (5)
ดังนั้น เราจะเห็นว่า การไดเอทของเราควรมีการผสมผสานอาหารหรือแหล่งโปรตีนทั้งจากพืชและจากสัตว์ดีกว่าครับ
2. Food Combining diet หรือ การกินแบบรวมอาหาร
คำแนะนำในการกินอาหารแบบ Food Combining diet คือ เราอาจจะต้องแยกคาร์โบไฮเดรต และไขมันออกจากกัน หรือไม่ควรกินพร้อมกัน และอาหารที่มีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตสูงๆ ก็ไม่ควรกินใน 1 มื้อพร้อมกันอีกด้วย
แต่คำถาม คือ มันดียังไงต่อการลดไขมัน และต่างกันกับการกินอาหารโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมันดีไปพร้อมกัน?
มีกลุ่มแพทย์ที่นำโดย Dr. Alain Golay จาก โรงพยาบาล Geneva ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ที่ได้ทำการทดลองในสถานที่ปิด หรือ Metabolic Ward เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์การไดเอทแบบ Food Combination และการกินอาหารปรกติ ว่าจะช่วยลดน้ำหนักได้ดีกว่าจริงหรือเปล่า
ผู้เข้าทดลองที่น้ำหนักเกินจะถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม พวกเขาจะกินอาหารวันละ 1100 แคลอรี่เท่ากัน และออกกำลังกายด้วยการเล่นคาร์ดิโอและว่ายน้ำทุกวัน วันละ 2 ชั่วโมงเท่ากัน
กลุ่มที่ 1 จะกินอาหารแบบ Food Combining Diet ที่ประกอบไปด้วยโปรตีนและไขมัน 25% และคาร์โบไฮเดรต 47%
กลุ่มที่ 2 จะกินอาหารปรกติที่มีสารอาหารหลักทั้งหมด หรือแบบ Balanced Diet ไปพร้อมกัน ซึ่งประกอบไปด้วยโปรตีน 25% ไขมัน 31% และคาร์โบไฮเดรต 42%
หลังจบการทดลองที่ใช้เวลา 6 อาทิตย์ ผู้เข้าทดลองทั้งสองกลุ่มสามารถลดน้ำหนัก ลดไขมัน และลดขนาดรอบเอว หรือ Waist-to-hip circumference Ratio ในสัดส่วนที่ไม่แตกต่างกันเลยครับ (5)
3. การทำ Calorie Cycling หรือกินอาหารมากน้อยในแต่ละวันที่แตกต่างกัน
เพื่อนๆอาจจะเคยได้ยินว่า ถ้าเรากินอาหารมากน้อยในแต่ละวันไม่เท่ากัน เช่น วันนี้กินแค่ 1000 แคลอรี่ วันต่อไปกิน 1500 แคลอรี่
มันจะช่วยทำให้ระบบเผาลผาญทำงานเร็วขึ้น เราอาจจะลดไขมันได้เร็วขึ้น และร่างกายอาจจะเดาไม่ถูก ซึ่งจะส่งผลดีต่อการลดน้ำหนักมากกว่าการกินอาหารปรกติ
คำถาม คือ มันต่างกันยังไงกับการกินอาหารในปริมาณที่เท่ากันในแต่ละวัน?
มีงานวิจัยที่ได้ทดลองเพื่อเปรียบเทียบ โดยการแบ่งผู้เข้าทดลองที่เป็นผู้หญิงที่น้ำหนักเกินออกเป็น 2 กลุ่ม นั่นคือ
กลุ่มที่ 1 จะกินอาหารที่ให้พลังงานเท่ากันต่อเนื่องในแต่ละวัน หรือ Constant-calorie Diet
ซึ่งระหว่างการทดลอง ปริมาณพลังงานแคลอรี่ที่ผู้เข้าทดลองกิน จะเริ่มจากจาก 2009 แคลอรี่ และลดลงมาเหลือแค่ 1178 แคลอรี่ เพื่อกระตุ้นให้เกิด Calorie Deficit
ส่วนกลุ่มที่ 2 จะทำตามสูตร Calorie Cycling หรือ Alternating Calorie Diet ที่จะกินอาหารในแต่ละวันไม่เท่ากัน และปริมาณพลังงานแคลอรี่ จะสลับกันไปในแต่ละวัน ซึ่งจะอยู่ระหว่าง 900-1300 แคลอรี่
กลังจบการทดลองนักวิจัยพบว่า การสลับปรับเปลี่ยนปริมาณพลังงานแคลอรี่ในแต่ละวัน ไม่ได้มีส่วนช่วยให้การลดน้ำหนัก และการลดไขมันดีขึ้น (6)
สิ่งที่ทำให้เกิด Calorie Deficit สิ่งที่ช่วยให้ผู้เข้าทดลองลดไขมันในร่างกายได้ผลดีกว่า คือ ออกกำลักงาย 5 วันต่อสัปดาห์
ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำว่า ถึงแม้ว่าการทำ Calorie Cycling จะไม่ได้อันตรายอะไร แต่มันก็จะไม่มีผลต่ออัตราการเผาผลาญ ไม่ได้ช่วยให้เราลดน้ำหนัก และลดไขมันได้เร็วขึ้นครับ
คำแนะนำจากโค้ชเค (Take Home Message)
เพื่อนๆจะเห็นแล้วนะครับว่า สูตรไดเอทในการลดน้ำหนักและลดไขมันหลายอย่าง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นอันตรายอะไร แต่มันอาจจะไม่ได้ช่วยให้เราลดน้ำหนัก และลดไขมันได้เร็วขึ้น และบางทีอาจจะทำให้เราเสียเวลาหลงทาง จนหมดไฟในการลดความอ้วนได้
ดังนั้น เราควรมาเริ่มค่อยๆปรับเปลี่ยนพฤติรกรรมการกินอาหารให้ดีขึ้น เริ่มทำอาหารที่เป็นธรรมชาติกินเองมากขึ้น ดูว่าเราชอบอะไร กินอะไรได้บ้าง
และในแต่ละมื้ออาหาร เราควรดูว่าร่างกายเราได้รับสารอาหารหลักครบทุกตัว ทั้งโปรตีน ไขมันดี และคาร์โบไฮเดรตในปริมาณที่เหมาะสมดีกว่าครับ
เพื่อนๆมีคำถามอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับการไดเอทอื่นๆอีกบ้างครับ?
ถ้ายังมีคำถาม หรือคำแนะนำดีๆ คอมเมนต์หรือว่ามาแชร์ประสบการณ์ได้เลยที่ด้านล่าง
และถ้าตอนนี้เพื่อนๆไม่อยากเสียเวลาไปกับการลดไขมัน และการออกกำลังกายที่ผิดวิธี และอยากจะมีหุ่นในฝันให้ตัวเองภูมิใจ ภายใน 3-6 เดือนนี้
แอดไลน์มาตาม Link ด้านล่าง มาสอบถาม และพูดคุยกันก่อน และถ้าเคมีเราตรงกัน ผมก็มีคอร์สออนไลน์ที่ออกแบบมาสำหรับเพื่อนๆโดยเฉพาะ
| Follow Us | ช่องทางการอัพเดทข้อมูลข่าวสาร | YouTube | Facebook | Instagram | LINE