5 เคล็ดลับฟิตหุ่น ของเทรนเนอร์หุ่นแซบ!
เคล็ดลับฟิตหุ่น ของ Jen Widerstrom คือสิ่งที่หลายคนต้องอยากรู้แน่นอน เพราะเธอคือหนึ่งในเทรนเนอร์ที่ฮอตที่สุดตอนนี้ เธอโด่งดังมาจากรายการ “The Biggeset Loser” ที่มีการนำเอาคนอ้วนมาเข้าคอร์สลดน้ำหนักและออกอากาศทางทีวี รายการนี้ประสบความสำเร็จมาก และเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลายคนหันมาลดน้ำหนักจนได้ผล
เคล็ดลับฟิตหุ่น ของ Jennifer มีอะไรบ้าง?
The Biggest Loser เป็นรายการที่เอาคนอ้วนมาลดน้ำหนัก กติกาคือ ใครที่ลดน้ำหนักได้มากที่สุดเป็นผู้ชนะ Jennifer Widerstrom มีชื่อเสียงเพราะว่าเธอช่วยให้ผู้เข้าแข่งขันชนะในรายการถึง 2 ซีซั่น (สุดยอดไหมหละครับ?)
วันนี้ผมจะมาเผยเคล็ดลับลดน้ำหนักจากเทรนเนอร์สาวสุดจี๊ด ที่ผ่านการเทรนคนอ้วนให้กลายมาเป็นคนหุ่นดีมาแล้วมากมาย เรามาดูกันว่าวิธีหรือเคล็ดลับที่เธอแนะนำมีอะไรบ้าง
อย่าใจร้อน
Jennifer บอกว่า หลายคนที่พยายามลดน้ำหนัก ในช่วงแรกๆจะมีกำลังใจเยอะมาก อยากทำนั่นทำนี่ ซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์เสริม เต็มไปหมด แต่เอาไปเอามาก็ไม่สามารถควบคุมอาหารและออกกำลังกายได้ต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ หลังจากนั้นก็จะท้อและหมดกำลังใจ หันกลับไปกินเยอะกว่าเดิม จนเกิดโยโย่ เอฟเฟกต์
เธอแนะนำว่า เราต้องใจเย็นๆ ค่อยปรับเปลี่ยนไปทีละอย่าง เช่น อาทิตย์แรกลองกินผลไม้ตอนเช้าทุกวัน หลังจาก 7 วันกลับมาทบทวนดูว่า เรารู้สึกยังไงและน้ำหนักลดลงไหม เป็นต้น จากนั้นอาทิตย์ถัดมา เราค่อยเพิ่มกิจกรรมใหม่ๆ เช่น ออกกำลังกายด้วยการเดินเร็ววันละ 10 นาที แล้วสังเกตุการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายเรา การที่เราค่อยๆเพิ่มกิจกรรมเพื่อสุขภาพทีละอย่าง จะช่วยให้เราลดน้ำหนักได้ดีในระยะยาว ในทางกลับกัน ถ้าเราโหมออกกำลังกาย และงดหรืออดอาหาร สุขภาพโดยรวมของเราก็จะพัง และเราก็จะเกลียดการลดน้ำหนักไปเลย
ต้องรู้จักตัวเอง
ทิปต่อมา Jennifer บอกว่า คอร์สลดน้ำหนักที่อีกคนทำแล้วได้ผล ไม่ได้แปลว่าเราทำตามแล้วเราจะสามารถลดน้ำหนักได้เหมือนกัน เพราะว่ามีปัจจัยอื่นๆหลายอย่างที่มีผลต่อน้ำหนักเรา เช่น อายุ เพศ ส่วนสูง การใช้ชีวิต และอาหารที่กินเป็นหลัก เพราะฉะนั้นเราต้องเริ่มหันมาเรียนรู้ตัวเราด้วย เราต้องรู้ว่าข้อจำกัดของเราคืออะไร เช่น ถ้าเราน้ำหนักเยอะ ในช่วงแรกๆ เราก็ไม่ควรจะวิ่งเร็วเหมือนเพื่อนเรา เราควรเริ่มด้วยการวิ่งเหยาะๆ สลับหยุดนิ่ง เพื่อถนอมสุขภาพข้อต่อต่างๆ
คอร์สลดน้ำหนักที่ดี คือคอร์สที่เหมาะกับตัวเราที่สุด ถ้าใครทำงานประจำจนไม่มีเวลาออกกำลังกาย เราก็ต้องหากิจกรรมที่กระตุ้นให้เราเคลื่อนตัวเยอะขึ้น เช่น จอรถไกลจากทางเข้าออฟฟิศ เพื่อที่เราจะได้เดินออกกำลังกาย หรือคนไหนขึ้นรถไฟฟ้าประจำ ก็ควรเลือกที่จะเดินขึ้นบันไดแทนบันไดเลื่อน และที่ออฟฟิศก็อาจจะใช้ลิฟต์ให้น้อยลง และเดินขึ้นบันไดแทน เป็นต้นครับ
จัดการกับความหิวให้ถูกวิธี
Jennifer บอกว่า มี 2 เหตุผลที่คนส่วนใหญ่อยากจะกินของหวานๆมันๆ เหตุผลแรกคือ เพราะเรากระหายน้ำ และเหตุผลที่ 2 คือ ร่างกายได้รับพลังงานาจากอาหารที่กินน้อยเกินไป
เมื่อไหร่ก็ตามที่ร่างกายเรารู้สึกว่าพลังงานหรือสารอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการ ระบบต่างๆในร่างกายจะทำงานช้าลง และสมองก็จะคอยส่งสัญญาณให้เรากินอาหารที่มีแคลอรี่สูงตลอดเวลา (โดนัท Fast food และบัวลอย เป็นต้น) คนส่วนใหญ่จะสู้กับความโหยหรือความอยากไม่ไหวหรอกครับ สุดท้ายก็ตะบะแตกและกลับไปกินเยอะกว่าเดิม ผลที่ตามมาคือ อ้วนมากขึ้นและไขมันในร่างกายมีเยอะขึ้นกว่าเดิม
ดังนั้นเราต้องกินอาหารให้พอดีกับที่ร่างกายต้องการต่อวัน (คลิกเพื่อ คำนวณปริมาณพลังงานแคลอรี่ที่ร่างกายต้องการต่อวัน) และอย่าลืมดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร
Jennifer แนะนำต่อว่า น้ำตาลหรือไขมันที่อยู่ในร่างกายเราก็เหมือนกับยาเสพติด ยิ่งเราขับมันออกไปจากร่างกายได้เยอะเท่าไหร่ เราก็จะลดความอยากได้มากเท่านั้น ก็เหมือนคนที่ติดสารเสพติด พอขับฤทธิ์ยาออกจนหมด ก็จะสามารถเลิกยาได้
อยู่กับความเป็นจริง
ช่วงแรกๆที่ผมเริ่มออกกำลังกาย ผมอยากจะมีกล้ามโตๆและอยากมี Six-pack สวยๆ แต่ผมลืมนึกไปว่า การออกกำลังกายไม่ว่าจะเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อหรือว่าลดน้ำหนัก ก็ต้องใช้เวลาและความพยายามทั้งนั้น
Jennifer บอกว่าคนส่วนใหญ่ลืมไปว่า การลดน้ำหนักไม่ได้เกิดขึ้นเลยภายใน 14 วัน บางคนตั้งเป้าหมายและมีความคาดหวังที่ไม่ยึดติดความเป็นจริงเลย เช่น น้ำหนักที่เพิ่มมากว่า 100 กิโลกรัม จะให้หายไปเลยภายใน 2 เดือน มันก็คงจะเป็นไปไม่ได้
ร่างกายเราต้องเรียนรู้และปรับตัวกับการลดน้ำหนัก ดังนั้นอาจจะมีบ้างที่บางทีน้ำหนักไม่ลดลงเลย ขอแค่ให้เราสู้ต่อไป ถ้าน้ำหนักไม่เคลื่อนที่เราก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนการกินอาหารและการออกกำลังกาย เช่น ถ้าวิ่งด้วยระยะทางเท่าเดิมเป็นเวลา 1 เดือน แล้วน้ำหนักไม่ลดลง ลองเปลี่ยนมาวิ่งไกลขึ้น หรือเพิ่มวิธีออกกำลังกายแบบอื่นเพื่อความไม่จำเจก็ได้ครับ
เตรียมพร้อมที่จะเรียนรู้จากข้อผิดพลาด
Jennifer บอกว่า ความผิดพลาด ไม่ว่าจะเกิดจากการกินอาหารและการออกกำลังกายที่ผิดวิธี จะเกิดขึ้นแน่นอน เราต้องเตรียมพร้อมที่จะเรียนรู้และพัฒนาตัวเราให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ
ที่จริงเธอก็เหมือนคนปกติทั่วไป มีบ้างบางครั้งที่เผลอกินเยอะเกินไป แต่แทนที่เธอจะไม่พอใจและโกรธตัวเอง เธอให้เวลาตัวเองอาทิตย์หนึ่งที่จะกลับมากินตามแผนที่วางไว้ แล้วค่อยมาคิดทบทวนว่า เกิดอะไรขึ้นบ้างและอะไรที่เป็นเหตุผลที่กระตุ้นให้เธอกินเยอะกว่าปกติ และวางแผนการกินให้รัดกุมขึ้นกว่าเดิม
ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพแล้วกันนะครับ ถ้าเรารู้ว่าเราจะซื้อโดนัทกินทุกครั้งที่เราไปเดินห้าง สิ่งที่เราเปลี่ยนได้คือ กินข้าวให้อิ่มก่อนออกบ้าน และพยายามอย่าเดินโซนที่เราจะเห็นอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ
สิ่งที่กระตุ้นให้แต่ละคนกินเยอะเกินไปจะไม่เหมือนกันอยู่แล้ว เราต้องหมั่นสังเกตตัวเราว่า ก่อนที่เราจะซื้อโดนัทชิ้นนั้นมากินอย่างเมามันส์ เรากำลังคิดอะไรอยู่ อารมณ์เราเป็นยังไง โกรธใครอยู่ไหม เมื่อคืนนอนน้อยไปหรือเปล่า เมื่อไหร่ที่เราหมั่นสังเกตอารมณ์และร่างกายเรามากขึ้น เราจะสามารถวางแผนรับมือได้ดีขึ้นครับ