5 นิสัย ที่ทำให้ไขมันไม่ลด & ซิกแพคไม่มา
อย่างที่เพื่อนๆรู้ครับว่า หลายคนจะพยายามลดความอ้วนแล้ว แต่ทำยังไงก็ไม่ผอม และอาจจะตัดพ้อว่า ถ้ามันลดได้ง่ายๆ ป่านนี้คนทั้งโลกก็หุ่นดีกันหมดแล้ว
เพราะในการลดน้ำหนักให้ได้ผลดี เราต้องใช้ความพยายามสูง ต้องเริ่มคุมอาหารให้ดี และเล่นเวทเทรนนิ่งเป็นประจำ จนทุกอย่างกลายเป็นนิสัย หรือส่วนหนึ่งของชีวิตเรา
ทีนี้ คนส่วนใหญ่อาจจะพยายามได้แค่ไม่นาน ก็ทนความอยากอาหารไม่ได้ เครียดที่ไม่ได้กินของอร่อย
หลุดบ่อย ตบะแตก และพอกลับมาพยายามใหม่ก็หลุดอีก และวนลูปไปแบบนี้
วันนี้ ผมโค้ชเค เลยจะมาแนะนำ 5 นิสัย ที่อาจจะทำให้เราลดน้ำหนัก และลดไขมันไม่ได้ ที่เราอาจจะทำโดยไม่รู้ตัว
และจะมีทิปส์ดีๆ มาแนะนำด้วยเช่นเคย จะมีอะไรบ้าง ตามมาเลยครับ
5 นิสัยที่ทำให้เราลดไขมันได้
เพื่อนๆครับ ถ้าตอนนี้ดูเหมือนว่า เรากำลังเจอทางตัน หรือทำยังไงก็ลดน้ำหนัก และลดไขมันต่อไม่ได้
มันอาจจะเป็นเพราะว่าหลายๆสิ่งที่เราทำทุกวัน จนเป็นนิสัย อาจจะกำลังหยุดการลดความอ้วนของเราอยู่ได้
นอกจากนี้ สิ่งที่ท้ายทายสำหรับเพื่อนๆที่มีหุ่นในฝันที่เราภูมิใจในตัวเองแล้ว คือ การรักษาหุ่นให้ดีเหมือนเดิมตลอดไป และบางทีอาจจะดูเหมือนว่า มันจะยากกว่าตอนลดไขมันซะด้วยซ้ำ
ดังนั้น เราจะเห็นว่า นิสัยหรือพฤติกรรมที่เราทำทุกวัน จะมีผลทั้งก่อนและหลังที่เราเริ่มลดน้ำหนักได้สำเร็จ
วันนี้ เรามาดูกันครับว่า 5 นิสัยแย่ๆที่อาจจะกำลังหยุดการลดความอ้วนของเราอยู่ มีอะไรบ้าง
1. ตั้งเป้าหมายที่เกินจริง หรือเร็วเกินไป
นิสัยแรกที่เรกที่เราจะต้องระวัง คือ “All Out Mentality” หรือการเหยียบคันเร่งเต็มแรงในช่วงแรกๆ และความคาดหวังที่สูงเกินไป
เพราะในความเป็นจริงแล้ว เราไม่ควรลดน้ำหนักเร็วๆ หรือน้ำหนักควรลดลงมากสุด แค่ไม่เกิน 1 กิโลกรัมต่ออาทิตย์เท่านั้น (1)
นักวิจัยยังพบว่า ผู้หญิงที่คิดว่าตัวเองจะต้องลดน้ำหนักให้ได้เยอะที่สุดหรือมากกว่าคนอื่น จะหลุดจากโปรแกรม หรือล้มเลิกความตั้งใจได้ง่ายกว่าด้วย (2)
ประเด็น คือ การที่เราคิดว่าจะต้องลดน้ำหนักเร็วๆ และมีความคาดหวังที่สูงเกินความเป็นจริง อาจจะทำให้เรากินอาหารน้อยเกินไป ตัดอาหารที่เราชอบไปหมด และอดอาหารนานๆ
ซึ่งนี่จะทำให้เราเสี่ยงที่จะตบะแตกง่าย รู้สึกเครียดมากกว่าเดิม เสี่ยงที่จะ Binge Eating และโยโย่ในที่สุดนั่นเอง
ดังนั้น ในการลดความอ้วนให้ได้ผลดีในระยะยาว เราควรใจเย็นๆ เน้นไปที่ความต่อเนื่อง ให้เวลากับร่างกาย เริ่มปรับทุกอย่างแบบค่อยเป็นค่อยไป
และถ้าเราเผลอหลุดไปกินของชอบ หรือต้องไปงานเลี้ยงนอกเหนือจากโปรแกรม เราก็ไม่ควรมานั่งเสียใจโทษตัวเอง เพราะเราจะกลับมาเริ่มใหม่ได้เสมอนั่นเองครับ
2. ชอบหาข้ออ้าง / รางวัลปลอบใจให้ตัวเอง
รู้ไหมครับว่า แต่ละคนจะมีช่วงเวลาที่เป็นจุดอ่อน โดยเฉพาะตอนหลังเลิกงาน หรือตอนที่เราทำอะไรเสร็จตอนเย็นก่อนนอน
ยกตัวอย่างเช่น เราอาจจะ
- ควบคุมแคลอรี่ได้ดีตั้งแต่เช้า
- เลือกกินอาหารที่เป็นธรรมชาติ
- ทำ Fasting ได้ 14-16 ชั่วโมง
- ออกกำลังกาย และเพิ่มจำนวนเก้าวที่เดินใน 1 วันด้วย
แต่พอเรารู้สึกเครียด เหนื่อยๆ เหมือนอยากจะกินอะไรล้างปาก เราอาจจะเผลอไปหยิบกินอาหารที่มีแคลอรี่สูงๆเยอะเกินไปได้
ซึ่งปัญหาที่ตามมา คือ เราจะเริ่มชินกับการที่ต้องมี Snack หรือขนมที่เราชอบหลังอาหารเย็น หรือก่อนนอนทุกวัน จนกลายเป็นนิสัยที่ติดและเลิกยาก
นี่คือเหตุผลที่ เราจะต้องเริ่มมีสติในการกินอาหาร หรือเริ่มดูว่าใน 1 วัน เราหยิบอะไรเข้าปากบ้าง
เพราะบางที โปรตีนบาร์ 1 แท่ง อาจจะทำให้เราอยากจะกินไอศกรีมต่อ หรือถั่ว 1 กำมือ อาจจะมาพร้อมกับคุกกี้ 3 ชิ้นได้ เป็นต้น
3. นอนดึก & นอนน้อยจนกลายเป็นนิสัย
เพื่อนๆอาจจะเร่ิมสังเกตเห็นว่า พอเราต้องทำงาน มีครอบครัว หรือมีความรับผิดชอบมากขึ้น เราก็อาจจะอยากหาเวลาสงบๆเพื่ออยู่เงียบๆคนเดียว โดยเฉพาะช่วงก่อนที่จะเข้านอน
ซึ่งเวลาส่วนตัว หรือ “Me Time” นี้ อาจจะมีเยอะขึ้นและเลทขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เราเข้านอนดึกและนอนน้อยจนกลายเป็นนิสัย
นอกจากนี้ ถ้าเราไม่ระวัง “Me Time” นี้ อาจจะลามไปเป็น เราออกไปเจอเพื่อนหลังเลิกงานจนดึก หรือเราอาจจะติดดื่มแอลกอฮอล์จนเป็นนิสัยได้
และทั้ง 2 ปัจจัยนี้ จะทำให้เรา
- นอนไม่หลับ ตื่นบ่อย
- ร่างกายสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ และสะสมไขมันมากขึ้น
- ออกกำลังกายแล้วแรงตก
- คุมอาหารไม่ได้ และหิวตลอดเวลา
ดังนั้น เราจะต้องเริ่มสังเกตพฤติกรรมการนอน และคุณภาพของการนอนเราด้วย เพราะการพักผ่อนให้เพียงพอ อาจจะสำคัญมากกว่าการไดเอท และการออกกำลังกายนั่นเองครับ
4. ดูแค่น้ำหนักบนตราชั่งเพียงอย่างเดียว
ประเด็น คือ การที่เราดูแค่น้ำหนักบนตราชั่งเพียงอย่างเดียว เราอาจจะมองไม่เห็นสิ่งดีๆหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับร่างกายเรา
เพราะรู้ไหมครับว่า การลดน้ำหนักลงได้แค่ 5-10% เช่น ลดน้ำหนักจาก 80 กิโลกรัม จนเหลือ 75 หรือ 70 กิโลกรัม (3, 4)
จะมีประโยชน์ต่อร่างกายเราหลายอย่างเลย นั่นคือ
- ระดับน้ำตาลในเลือดดีขึ้น
- ความเสี่ยงของโรคหัวใจ และระดับคอเลสเตอรอลน้อยลง
- อาการปวดตามข้อต่อต่างๆ หรือเข่าน้อยลง
- เรารู้สึกมีแรง และตัวเบาขึ้น เป็นต้น
ดังนั้น มันดีแล้วที่เรามีเป้าหมายที่อยากจะลดน้ำหนักให้ได้ 10 กิโลกรัม ภายใน 4 เดือน
แต่เราก็ต้องย้อนกลับมาดูด้วยว่า เราต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้ไปถึงเป้าหมาย หรือ “Process Goals” ยิบย่อย ต้องมีอะไรบ้าง
ยกตัวอย่างเช่น เราอาจจะมีเป้าหมายที่จะ
- เดินให้ได้อย่างน้อยวันละ 5,000 ก้าว
- กินผักและผลไม้มากขึ้น อย่างน้อยวันละ 2 กำปั้น
- เราจะดื่มเครื่องดื่มหวานๆ เช่น น้ำอัดลม และน้ำผลไม้ แค่ไม่เกิน 2 ครั้งต่อสัปดาห์ และ
- เราจะเล่นเวทเทรนนิ่ง 3 วันต่อสัปดาห์ เป็นต้น
5. ลดความอ้วนตามเทรนด์ โดยไม่ดู Lifestyle ตัวเอง
เพราะวิธีไดเอทที่ดีที่สุด คือ วิธีที่เราสามารถทำตามได้เรื่อยๆ
ดังนั้น ถ้าเราชอบกินคาร์บ กินขนม หรือขาดแป้งไม่ได้ เราก็ไม่ควรกินอาหารแบบ Ketogenic Diet
หรือถ้าเวลางานเราไม่แน่นอน ทำงานเป็นกะ และเวลากินอาหารคลาดเคลื่อนอยู่บ่อยๆ เราก็อาจจะไม่ต้องทำ Intermittent Fasting ก็ได้
นั่นเป็นเพราะว่า Calorie Deficit หรือการกินน้อยกว่าที่ร่างกายใช้ ยังจะเป็นปัจจัยอันดับ 1 ของการลดไขมันที่ได้ผลดีอยู่นั่นเอง (5)
ต่อมา แทนที่เราจะทำตามวิธีลดน้ำหนักทุกอย่างในอินเตอร์เน็ต นักวิจัยแนะนำเพิ่มเติมมาว่า เราอาจจะเริ่มทำ 5 สิ่งนี้ให้เป็นนิสัยดีกว่า (6)
- ค่อยๆลดปริมาณอาหาร หรือพลังงานแคลอรี่ที่ร่างกายได้รับใน 1 วัน
- เริ่มลดขนาดของอาหาร หรือทำ Portion Control
- เริ่มลดปริมาณและจำนวนครั้งที่กิน Snack หรือของกินเล่น
- เริ่มลดอาหารที่เป็นของมันของทอด รวมไปถึงอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงๆ และ
- เราควรมีผักและผลไม้กับทุกมื้ออาหาร
ดังนั้น ตอนนี้เพื่อนๆควรเริ่มดูพฤติกรรม นิสัยส่วนตัว และการใช้ชีวิตของเราดีกว่า ว่าจะเอา 5 คำแนะนำนี้ มาปรับใช้ให้เข้ากับ Lifestyle ของเราได้ยังไงบ้าง
ท้ายสุดแน่นอนว่า นิสัยที่ดีต่อสุขภาพและหุ่นที่ลีนสมส่วน จะไม่ได้สร้างได้ในวันเดียว
ดังนั้น เราควรเริ่มทำในสิ่งที่เราควบคุมได้ตอนนี้ เริ่มจากจุดเล็ๆก่อน และพอทุกอย่างกลายเป็นนิสัยแล้ว เราจะเริ่มคิดถึงการกินอาหารดีๆเพื่อสุขภาพ และนึกถึงการออกกำลังกายไปเองโดยอัตโนมัติครับ
คำแนะนำจากโค้ชเค (Take Home Message)
เพื่อนๆจะเห็นแล้วนะครับว่า การที่เราลดน้ำหนัก ลดไขมัน หรือสร้างกล้ามเนื้อให้มีหุ่นลีนๆ และมีซิกแพคชัดๆไม่ได้สักที
มันอาจจะเป็นเพราะว่า เรามีพฤติกรรมหรือนิสัยที่ไม่เอื้อต่อการลดความอ้วนได้
ดังนั้น ตอนนี้เราควรเริ่มหันมาดูตัวเองว่า
- เราชอบกินอาหารแบบไหน
- สถานที่หรืออาหารอะไรที่ทำให้เราหลุดบ่อยๆ
- ออกกำลังกายได้กี่วันต่อสัปดาห์ สะดวกที่จะออกตอนเช้าหรือตอนเย็น
- และเราจะนอนให้ดีขึ้นยังไงได้บ้าง
ต่อมา เราค่อยๆปรับทุกอย่างให้ดีขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป จนทุกอย่างกลายเป็นนิสัยดีกว่าครับ
ตอนนี้เพื่อนๆคิดว่าเรากำลังทำอะไรที่หยุดการลดไขมันอยู่บ้างครับ?
ถ้ายังมีคำถาม หรือคำแนะนำดีๆ คอมเมนต์หรือว่ามาแชร์ประสบการณ์ได้เลยที่ด้านล่าง
และถ้าตอนนี้เพื่อนๆไม่อยากเสียเวลาไปกับการลดไขมัน และการออกกำลังกายที่ผิดวิธี และอยากจะมีหุ่นในฝันให้ตัวเองภูมิใจ ภายใน 3-6 เดือนนี้
แอดไลน์มาตาม Link ด้านล่าง มาสอบถาม และพูดคุยกันก่อน และถ้าเคมีเราตรงกัน ผมก็มีคอร์สออนไลน์ที่ออกแบบมาสำหรับเพื่อนๆโดยเฉพาะ
| Follow Us | ช่องทางการอัพเดทข้อมูลข่าวสาร | YouTube | Facebook | Instagram | LINE










