วิธีพิ่มกำลังใจในการออกกำลังกายของ คุณแม่หลังคลอด
คุณแม่หลังคลอด ส่วนใหญ่รู้ดีอยู่แล้วว่าการออกกำลังกายดีต่อสุขภาพ แต่ทำไมเราถึงไม่อยากจะทำหละ? ยิ่งคุณแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกและดูแลครอบครัวด้วยแล้ว เรื่องหาเวลาและกำลังใจในการออกกำลังกายจึงยากมาก เพราะคุณแม่หลังคลอดทุกคนเวลามีน้อยมาก แต่ความรับผิดชอบมากมายราวกับภูเขาเลากา
คุณแม่หลังคลอด กับชีวิตที่เปลี่ยนไป
ผมขอยกตัวอย่างเพื่อนผมแล้วกัน เพื่อนผมพอชีวิตได้เปลี่ยนมาเป็นคุณแม่ Full Time ปุ๊บ ทุกอย่างในชีวิตจะขึ้นอยู่กับลูกหมดเลย เช่น จะออกไปข้างนอกก็ต้องวางแผนก่อนว่าลูกเราจะอยู่ด้วยได้ไหม ไม่เหมือนแต่ก่อนที่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเราคนเดียว
ปัญหาต่อมาคือ คุณแม่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยได้นอนเต็มอิ่ม เพราะไหนจะต้องดูแลลูก ทำความสะอาดบ้าน และดูแลสามีอีก บางทีหน้าที่บานปลายไปเยอะจนจัดการไม่ทันกันเลยทีเดียว ดังนั้นมันจึงไม่แปลกเลยที่คุณแม่ส่วนใหญ่ไม่มีกำลังใจในการออกกำลัง “แค่นี้ก็เหนื่อยและไม่มีเวลาแล้ว จะให้ออกกำลังกายอีกหรอ?”
ทำไมถึงต้องออกกำลังกายด้วย?
การออกกำลังกายมีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพโดยรวม ช่วยลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง ยิ่งคนเป็นแม่ยิ่งต้องฟิตอยู่ตลอดเวลา (เพราะความรับผิดชอบที่เยอะขึ้นไงหละครับ) อีกอย่างการออกกำลังกายยังช่วยให้เรามีกำลังใจ และกำลังกายในการทำงาน และลดความเครียดได้ด้วย
คุณแม่ส่วนใหญ่มีความเครียดกันทุกคนครับ ขึ้นอยู่กับว่าจะมากจะน้อยแค่นั้นเอง เพราะทุกอย่างเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา ทั้งความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นและที่สำคัญ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกาย
อีกเหตุผลหนึ่งที่คุณแม่หลังคลอดควรหันมาฟิตหุ่นคือ เพราะเราต้องเป็น “Role Model” หรือการเป็นตัวอย่างที่ดีเกี่ยวกับสุขภาพให้กับลูกเราไงหละครับ ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า เด็กเขาจะคอยมองและเรียนรู้พฤติกรรมของพ่อแม่ ถ้าคุณแม่คนไหนเป็นคนที่กินอาหารเพื่อสุขภาพเป็นส่วนใหญ่ และออกกำลังกายเป็นประจำ ลูกเราก็จะเรียนรู้และเลียนแบบพฤติกรรมนี้เมื่อโตขึ้น ถือเป็นการปลูกฝังนิสัยที่ดีและนี่คือหนึ่งในวิธีมอบความรักให้กับลูกที่ดีที่สุดครับ
อ่ะ…ในเมื่อเกริ่นข้อดีของการออกกำลังกายไปแล้ว เรามาดูกันว่าคุณแม่หลังคลอดจะหากำลังใจในการออกกำลังกายจากไหนดี!
ตื่นขึ้นมาออกกำลังกาย อย่าปล่อยให้เป็นดินพอกหางหมู
กำลังใจในการออกกำลังกาย ก็เป็นเหมือนทรัยพยาการธรรมชาติอย่างหนึ่ง ยิ่งปล่อยไว้นาน ยิ่งหมดเร็ว เพราะฉะนั้นตอนตื่นนอนจะเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการออกกำลังกาย เพราะว่าเรายังมีกำลังใจเต็ม 100% และพร้อมที่จะทำอะไรหลายๆอย่าง
นักวิจัยพบว่าถ้าเราบอกกับตัวเองว่า “เดี๋ยวตอนเย็นค่อยออกกำลังกาย” เราจะไม่ได้ออกกำลังกายเลย เพราะระหว่างวันจะมีอะไรที่เราต้องทำหลายอย่าง จนเราเหนื่อยและไม่อยากออกกำลังกายในที่สุด
ผมเคยอ่าน Blog ของเทรนเนอร์ที่เป็นคุณแม่หลังคลอดคนหนึ่ง เขาแนะนำว่า พยายามให้ลูกเข้านอนเร็วหน่อยและเราก็ควรนอนพร้อมลูกเลย แล้วตื่นเร็วกว่าเพื่อที่จะมาออกกำลังกาย วิธีออกกำลังกายก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งยาก แค่เดินเร็ว หรือปั่นจักรยาน 10-15 นาที ก็คือการออกกำลังกายแล้วครับ ในช่วงแรกๆอาจจะต้องมีการบริหารเวลาให้เข้ากับการใช้ชีวิตและความรับผิดชอบ แต่พอทำไปเรื่อยๆทุกอย่างจะเข้าที่เอง “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น”
ทำให้การออกกำลังกายเป็นกิจกรรมของครอบครัว
คุณแม่หลังคลอดทั้งมือเก่าและมือใหม่จะเห่อและติดลูกกันทุกคนแหละครับ ในเมื่อตัวติดกันเป็นปลาท่องโก๋และไม่อยากแยกตัวจากลูกเราเลย เราก็อาจจะต้องหากิจกรรมที่สามารถทำไปพร้อมๆกับการเลี้ยงลูกเลยก็ได้ เช่น ปั่นจักรยานรอบสวนสาธารณะ (พ่อ แม่ ลูก) หรือเอาลูกใส่รถเข็นแล้วเดินรอบๆหมู่บ้านก็ได้ครับ
อีกอย่างการมีเพื่อนที่อยากจะออกกำลังกายไปด้วยกัน เรายิ่งจะมีกำลังใจและแรงกดดันที่จะออกกำลังกายมากขึ้น นักวิชาการบอกว่า ถ้าเรามี Buddy ที่กำลังรอที่จะออกกำลังกายพร้อมเราอยู่ โดยนิสัยของมนุษย์แล้วเราจะไม่อยากปล่อยให้เพื่อนเรารอหรืออกกำลังกายไปคนเดียว (ไม่อยากให้เพื่อนผิดหวัง) และอีกอย่างออกกำลังกายไป คุยกับเพื่อนไป ก็เพลินไปอีก Level หนึ่งเลย ว่าไหมครับ?
ย่อเป้าหมายให้เล็กลง
หนึ่งในเหตุผลหลักที่คุณแม่ส่วนใหญ่ไม่ชอบออกกำลังกาย คือ มันน่าเบื่อ ไม่สนุก และบางทีก็น่ากลัว (เวท เทรนนิ่ง) ผมว่านั่นคือข้อแก้ตัวกึ่งๆความเข้าใจผิดมากกว่า เพราะการออกกำลังกายไม่ได้หมายความว่าเราต้องเข้าฟิตเนสเป็นชั่วโมงสองชั่วโมง แต่มันยังมีกิจกรรมอื่นๆที่เราทำประจำในแต่ละวัน กิจกรรมเหล่านี้ก็คือการออกกำลังกายเหมือนกัน ถ้าเราตั้งเป้าไว้ว่าจะเดินตอนเช้า 10 นาที ฟังดูง่ายกว่าการที่ต้องไปเล่น เวท เทรนนิ่งที่ฟิตเนส 1-2 ชั่วโมงแน่นอนครับ ในเมื่อไม่มีเวลา ก็ต้องแบ่งเวลาเป็นช่วงๆ เวลาแค่ 2 ชั่วโมงครึ่ง (150 นาที) ต่ออาทิตย์ ผมว่าไม่เหนือบ่ากว่าแรงหรอกครับ แค่มีความตั้งใจ ก็ทำได้แล้ว
อุปกรณ์ออกกำลังกายต้องมองเห็นตลอดเวลา
“Out Of Sight, Out Of Mind” ฉันใดก็ฉันนั้น ดังนั้นมีอุปกรณ์ออกกำลังกายอะไร เอามาวางไว้ในที่ที่เราจะผ่านและเห็นทุกวันเลยครับ เช่น รองเท้าวิ่ง ดัมเบล และเชือกกระโดด เป็นต้น นักวิชาการบอกว่า การทำแบบนี้จะเป็นเหมือนเครื่องเตือนใจให้เราออกกำลังกาย ในทางกลับกัน ถ้าเราเอาไปเก็บไว้ในห้องเก็บของ เราจะมองไม่เห็นอุปกรณ์ออกกำลังกายทุกวัน และกำลังใจในการออกกำลังก็จะหดหายไปเรื่อยๆ