สูตร BMI (ดัชนีมวลกาย) สำหรับผู้หญิง ยังเชื่อถือได้ไหม?
เพื่อนๆกำลังสงสัยเหมือนกันไหมครับว่า ค่าดัชนีมวลกาย ที่เรียกว่า “Body Mass Index” หรือค่า BMI ยังน่าเชื่อถืออยู่หรือเปล่า
คำนวณยังไง ถ้ามันมากเกินหรือน้อยกว่าเกณฑ์ มันแปลว่าเราสุขภาพไม่ดีจริงไหม และที่สำคัญ ค่า BMI จะใช้กับผู้หญิงที่ออกกำลังกายและสร้างกล้ามเนื้อได้หรือเปล่า?
ประเด็น คือ เพื่อนๆผู้หญิงที่ตัวเล็กหรือหุ่นโดยรวมดูผอม อาจจะมีค่า BMI ที่ดี แต่สภาพร่างกายอาจจะดูโทรม ผอมแห้งและไม่มีน้ำมีเนื้อ
ในทางตรงกันข้าม ผู้หญิงที่ออกกำลังกายและสร้างกล้ามเนื้อ อาจจะมีร่อง 11 หุ่นดีสมส่วน และผิวดูมีน้ำมีนวลมากกว่า ถึงแม้ว่าค่า BMI อาจจะอยู่ในเกณฑ์คนอ้วนก็ตาม
วันนี้ ผมโค้ชเค เลยจะมาบอกทุกอย่างที่เพื่อนๆผู้หญิงต้องรู้เกี่ยวกับค่า BMI และจะมีทิปส์ดีๆมาแนะนำด้วยเช่นเคย จะมีอะไรบ้าง ตามมาเลยครับ
สูตร BMI (ดัชนีมวลกาย) ผอม/อ้วน สำหรับผู้หญิง ควรอยู่เท่าไหร่ & ยังเชื่อถือได้ไหม?
อย่างที่เพื่อนๆรู้ดีครับว่า ค่า BMI จะถูกใช้เป็นตัววัดว่าเราอ้วนหรือผอมเกินไปหรือเปล่า แต่บางทีมันอาจจะใช้ไม่ได้สำหรับทุกคน
เพราะแน่นอนว่า สำหรับคนปรกทั่วไป การมีน้ำหนักที่อยู่ในค่า BMI มาตรฐาน จะถือว่ามีสุขภาพดี และยังมีหุ่นที่อยู่ในเกณฑ์ นั่นคือมีค่า BMI ระหว่าง 18.5-24.9 (1)
BMI Range | Classification |
น้อยกว่า 16.5 | น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ II (Severe underweight) |
น้อยกว่า 18.5 | น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ (Underweight) |
18.5–24.9 | ปรกติ (Normal Weight) |
25.0–29.9 | น้ำหนักเกิน (Overweight) |
30.0–34.9 | obesity class I |
35.0–39.9 | obesity class II |
40 หรือมากกว่า | obesity class III |
แต่ประเด็น คือ ค่า BMI จะใช้แค่น้ำหนักส่วนสูงเท่านั้น โดยไม่ได้แยกว่าเป็น
- เพศหญิง/เพศชาย
- และไม่ได้เอาเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายและมวลกล้ามเนื้อ ของคนที่ออกกำลังกาย หรือนักกีฬามาคำนวนด้วยนั่นเอง (2)
ค่า BMI สำหรับผู้หญิง ใช้ได้ไหม & ตรงหรือเปล่า?
โดยทั่วไป ผู้หญิงจะมีเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายเยอะกว่า และมีมวลกล้ามเนื้อน้อยกว่าผู้ชายอยู่แล้ว ซึ่งเราจะต้องมาดูด้วยว่าค่า BMI มันสมเหตุสมผลหรือเปล่า
เช่น ผู้หญิงที่สูง 165 เซนติเมตร ที่หนักประมาณ 50-68 กิโลกรัม ก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ค่า BMI อยู่ หรือไม่อ้วนหรือผอมเกินไป เป็นต้น (3)
ผู้เชี่ยวชาญยังพบด้วยว่า ถึงแม้ว่าผู้หญิง 2 คน จะมีค่า BMI เท่ากัน แต่อีกคนอาจจะมีไขมันมากกว่า และอีกคนอาจจะมีมวลกล้ามเนื้อเยอะกว่า
และการสะสมไขมันแต่ละส่วนของร่างกายที่เรียกว่า “Fat Distribution” ก็จะไม่เหมือนกันด้วย เช่น เราอาจจะมีไขมันที่พุงและสะโพกมากกว่าเพื่อนเรา เป็นต้น (4)
จากการสำรวจยังพบด้วยว่า ผู้หญิงเอเชียบ้านเราอาจจะเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวาน หรือมีปัญหาเกี่ยวกับไขมันและน้ำตาลในเลือดได้ ถึงแม้ว่าจะมีค่า BMI ที่ไม่สูงก็ตาม (5)
เช่น ถ้าเรามีค่า BMI มากกว่า 23 ก็จะถือว่ามีน้ำหนักเกินแล้ว และถ้ามีสูงถึง 27-28 เราก็จะถือว่าเป็นคนอ้วนไปโดยปริยาย (6)
ค่า BMI ใช้ได้กับผู้หญิงที่ออกกำลังกายหรือเปล่า?
คำตอบ คือ ไม่เลยครับ
เพราะว่าการที่ผู้หญิงมีความฟิต รักสุขภาพ ออกกำลังกายเป็นประจำ และมีการสร้างกล้ามเนื้อด้วยการเล่นเวทเทรนนิ่งด้วย
เราจะมีสัดส่วนของมวลกล้ามเนื้อมากกว่าไขมัน และมวลกล้ามเนื้อนี้จะมีขนาดเล็กกว่า แต่จะหนักกว่ามวลไขมันนั่นเอง (7, 8, 9)
นี่คือเหตุผลที่ ทำไมบางทีเราเล่นเวทเทรนนิ่ง และกินโปรตีนมากขึ้นแล้ว น้ำหนักบนตราชั่งไม่กระดิก แต่เราจะดูตัวเล็กลง และกลับไปใส่เสื้อผ้าตัวเดิมได้
และถ้าเรามีเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายต่ำ แต่มีมวลกล้ามเนื้อเยอะกว่า เราอาจจะมีค่า BMI ที่เหมือนคนอ้วนได้ แต่เราจะหุ่นดีสมส่วน และเป็นคนสุขภาพดี
นอกจากนี้ คนที่ตัวเล็ก น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ หรือค่า BMI ไม่เกิน อาจจะเป็นคนผอมแต่มีพุง หรือมีหุ่น “Skinny Fat” ที่มีกล้ามเนื้อน้อย แต่มีไขมันในเลือด และน้ำตาลสูงได้ (10)
ค่า BMI สำหรับผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือน ควรอยู่ที่เท่าไหร่?
พอเพื่อนๆผู้หญิงเริ่มเข้าสู่วัยก่อนหมดประจำเดือน หรือ “Premenopause” และเข้าสู่วัยทองในที่สุด
สิ่งหนึ่งที่จะหายไปหรือลดลง คือ มวลกล้ามเนื้อ และไขมันหน้าท้องจะเริ่มแข็ง และมีมากขึ้น หรือเริ่มลงพุงเหมือนผู้ชายได้
ซึ่ง 4 สาเหตุหลักที่ทำให้กล้ามเนื้อหายและลงพุง คือ (11)
- ฮอร์โมนเพศหญิงที่ลดลง
- เราอาจจะไม่มีอารมณ์หรือขี้เกียจออกกำลังกาย
- เราอาจจะหงุดหงิด อยากจะอยู่เฉยๆ หรือเคลื่อนตัวระหว่างวันน้อย
- เราอาจจะตัวเล็กลง เพราะว่าแขน-ขาจะสั้นลง และรู้สึกได้ว่าไม่แข็งแรงเหมือนเดิม
ดังนั้น ถึงแม้ว่าผู้หญิงที่อายุเยอะกว่า จะมีค่า BMI เท่ากับผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า แต่ถ้าฮอร์โมนเริ่มเปลี่ยน หรือเราอยู่ในวัย “Menopause” แล้ว
เราอาจจะไม่มีความแข็งแรง และไม่มีมวลกล้ามเนื้อเยอะเหมือนผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า และเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายอาจจะมีเยอะกว่าด้วย
3 วิธีวัดผลลัพธ์ สำหรับผู้หญิงที่ออกกำลังกาย & มีสุขภาพดี
อย่างที่เพื่อนๆเห็นว่า ค่า BMI อาจจะใช้ไม่ได้กับทุกคน และถ้าเราต้องการที่จะรู้ว่าเราสุขภาพดี มีไขมันในร่างกายน้อย และมีมวลกล้ามเนื้อเยอะ
เราอาจจะวัดผลด้วยอุปกรณ์และเครื่องมือที่หาได้ง่าย และบอกผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงดีกว่า นั่นคือ
- ใช้เครื่อง DEXA (Dual-energy X-ray Absorptiometry) ที่จะตรวจกระดูก น้ำในร่างกาย และมวลกล้ามเนื้อ ซึ่งอาจจะมีราคาประมาณ 1,500-2,500 บาท
- ใช้สายวัดในการวัดสัดส่วน และชั่งน้ำหนักไปพร้อมกัน เพราะขนาดรอบเอวสำหรับผู้หญิงบ้านเรา อาจจะไม่เกิน 31 นิ้ว หรือ 79 เซนติเมตรดีกว่า (12)
- ใช้ “Skinfold Calipers” ที่เป็นตัวหนีบเพื่อวัดไขมันใต้ผิวหนัง เป็นต้น
ท้ายสุด นอกจาก
- ค่า BMI
- เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่ากายและมวลกล้ามเนื้อ
- ขนาดรอบเอว และน้ำหนักตัวแล้ว
เราจะต้องมาเริ่มดู
- พฤติกรรมการกินอาหารที่ควรจะดีขึ้นด้วย
- การเคลื่อนไหวร่างกายระหว่างวันมากขึ้น และการออกกำลังกาย
- การเข้านอนและตื่นนอนให้ใกล้เคียงกับเวลาเดิม และพักผ่อนให้เพียงพอ และ
- การจัดการกับควาวมเครียดให้เหมาะสมกับตัวเรา หรือการมีสุขภาพจิตที่ดีด้วย เป็นต้นครับ
คำแนะนำจากโค้ชเค (Take Home Message)
เพื่อนๆจะเห็นแล้วนะครับว่า ถ้าเราเป็นคนออกกำลังกายเป็นประจำ และมีมวลกล้ามเนื้อมากกว่า มวลไขมันในร่างกาย
ค่า BMI อาจจะบอกว่าเราเป็นคนอ้วนได้ เพราะว่ามวลกล้ามเนื้อจะมีมากกว่า และหนักกว่าไขมันนั่นเอง
ต่อมา เพื่อนๆผู้หญิงที่มีหุ่นแบบ “Skinny Fat” หรืออยู่ในวัยหมดประจำเดือนแล้ว อาจจะมีค่า BMI ที่ปรกติ
แต่ไขมันในช่องท้องอาจจะมีมากกว่า และมวลกล้ามเนื้ออาจจะหายไปได้
ดังนั้น การเริ่มควบคุมอาหารให้ดี กินโปรตีนให้ถึง และการเล่นเวทเทรนนิ่ง ยังจะต้องเป็นสิ่งที่เราควรเริ่มลงมือทำอยู่ครับ
เพื่อนๆมีค่า BMI เท่าไหร่ และใช้ได้กับหุ่นเราหรือเปล่า?
ถ้ายังมีคำถาม หรือคำแนะนำดีๆ คอมเมนต์หรือว่ามาแชร์ประสบการณ์ได้เลยที่ด้านล่าง
และถ้าตอนนี้เพื่อนๆไม่อยากเสียเวลาไปกับการลดไขมัน และการออกกำลังกายที่ผิดวิธี และอยากจะมีหุ่นในฝันให้ตัวเองภูมิใจ ภายใน 3-6 เดือนนี้
แอดไลน์มาตาม Link ด้านล่าง มาสอบถาม และพูดคุยกันก่อน และถ้าเคมีเราตรงกัน ผมก็มีคอร์สออนไลน์ที่ออกแบบมาสำหรับเพื่อนๆโดยเฉพาะ
| Follow Us | ช่องทางการอัพเดทข้อมูลข่าวสาร | YouTube | Facebook | Instagram | LINE