เมตาบอลิซึม (Metabolism) คืออะไร?
เมตาบอลิซึม (Metabolism) เป็นคำที่หลายคนคุ้นหูกันดี เพราะถ้าอยากลดน้ำหนักให้ได้ผล อยากเบิร์นแคลอรี่และไขมันให้มากขึ้น ต้องกระตุ้นระบบนี้ให้ทำงานเยอะขึ้นด้วย
วันนี้ผมโค้ชเค จะมาแฉความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับระบบเผาผลาญพลังงาน หรือ เมตาบอลิซึม ไม่แน่นะครับบางทีเราอาจจะกำลังทำมันอยู่ก็ได้
เมตาบอลิซึม กับความเชื่อผิดๆ
เมตาบอลิซีม (Metabolism) คือ ระบบเผาผลาญอาหารและเครื่องดื่มที่เรากินเข้าไป และช่วยซ่อมแซมส่วนต่างๆของร่างกายที่สึกหรอด้วย
เมื่อมันมีความสำคัญขนาดนี้ ความเชื่อผิดๆก็เลยเกิดขึ้นมาเยอะมาก เรามาดูกันครับว่ามีอะไรบ้าง
แบ่งกินเป็นมื้อย่อยๆ 5-6 มื้อ
ประเภทของอาหารที่เรากินเข้าไป มีผลต่อระบบย่อยอาหารโดยตรง ถ้าอาหารมีเส้นใยสูง หรือมีค่าดัชนีน้ำตาลที่ต่ำ ร่างกายเราก็จะใช้พลังงาน (แคลอรี่) เยอะขึ้นในการย่อย
โดยเฉลี่ย ระบบย่อยอาหารจะใช้พลังงานประมาณ 10% ของพลังงานที่เรากินเข้าไปต่อวัน นั่นหมายความว่า ยิ่งเรากินเข้าไปมากเท่าไหร่ ร่างกายก็ยิ่งต้องการพลังงานเพื่อมาย่อยมากเท่านั้น แต่อัตราก็จะอยู่ที่ 10% ไม่เปลี่ยนแปลง
แต่ถ้าเรากินอาหารเข้าไปเยอะๆ หุ่นจะเปลี่ยนแน่นอน เพราะว่าไขมันในร่างกายจะมีมากขึ้น
ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ปริมาณพลังงานแคลอรี่ที่เรากินเข้าไปต่อวัน มันไม่สำคัญเลยว่าเราจะจะแบ่งอาหารเป็นมื้อย่อยๆ 5-6 มื้อ หรือ 10-20 มื้อ
เวท (Weight Training)
ถ้าเราออกกำลังกายแบบออกแรงดัน เช่น เวท เทรนนิ่ง (Weight Training) เราก็จะมีมวลกล้ามเนื้อมากขึ้น
รู้ไหมครับว่า มวลกล้ามเนื้อ 1 กิโลกรัม สามารถเร่งระบบเผาผลาญพลังงาน ให้เผาผลาญเพิ่มขึ้นประมาณ 13 แคลอรี่ต่อวัน
13 แคลอรี่ ถ้ามองดูแล้วอาจจะน้อยนิด แต่มวลกล้ามเนื้อที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากการเล่นเวท เทรนนิ่ง จะช่วยให้สุขภาพข้อต่อ หัวใจ ปอด และกระดูกแข็งแรงขึ้นด้วย
อีกอย่าง ยังเป็นการปรรับบุคลิกด้วย ช่วยให้หลังไม่งอ มีความสมดุลย์ของร่างกาย ร่างกายที่มีสัดมีส่วนเหมือนลูกแพร์ดู Sexy กว่าร่างกายที่เหมือนแอปเปิ้ลแน่นอนครับ
ยิ่งอายุมากขึ้น ระบบเผาผลาญยิ่งช้าลงไปเรื่อยๆ
ถ้าอายุยังไม่ถึง 50 เปลี่ยนความเข้าใจนี้ซะใหม่ครับ
เหตุผลที่เราลงพุงและอ้วนก็เพราะว่าเรากินเยอะเกินไป และแถมขี้เกียจออกกำลังกายอีก นี่ต่างหากคือเหตุผลหลัก
จริงอยู่ที่ว่าระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกาย หรือ เมตาบอลิซึมจะทำงานช้าลง แต่พอดูตัวเลขแล้วพบว่า คนทั่วไปที่อายุน้อยกว่า 50 ปี เฉลี่ยแล้วจะเผาผลาญแคลอรี่น้อยลงปีละ 7 แคลอรี่
เอาง่ายๆ ถ้าเปรียบเทียบความต่างระหว่างคนอายุ 30 กับ 40 ถ้าให้ 2 คนนี้นอนทั้งวันเหมือนกัน คนอายุ 30 จะเบิร์นแคลอรี่ได้มากกว่าคนอายุ 40 แค่ 70 แคลอรี่ เท่านั้น
ฝากไว้…ก่อนไป
ถ้าอยากลดน้ำหนักให้ได้ผล เราต้องรู้ก่อนว่า ใน 1 วัน ร่างกายต้องการพลังงานแคลอรี่เท่าไหร่ (คลิกเพื่อคำนวณ) แล้วค่อยมาวางแผนการกินอาหารไม่ให้เกิน และต้องเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์มากกว่าอาหาารแปรรูป
ออกกำลังกายแบบแอรอบิค เพื่อเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานด้วย เช่น เดิน วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน อย่างน้อย อาทิตย์ละ 150 นาที หรือวันละ 30 นาทีครับ
ถ้าชอบบทความนี้ อย่าลืมกด Share ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ