ไขมันในร่างกาย (Body fat) คืออะไร?
ไขมันในร่างกาย (Body Fat) เป็นสิ่งที่ร่างกายเราต้องมีไว้เพื่อการอยู่รอด แต่ถ้าเรากินอาหารเยอะเกินไป ไขมันก็จะมีมากเกินไป ทำให้รูปร่างดูไม่ดี และปัญหาสุขภาพต่างๆก็จะตามมาด้วย
การที่เพื่อนๆจะสามารถลดไขมันได้ เราต้องมาทำความเข้าใจก่อนว่า เซลล์ไขมันมีหน้าตายังไง ทำไมร่างกายเราถึงชอบเก็บพลังงานที่เกินมาเป็นไขมัน และถ้าจะลดไขมันออกไป เราต้องกระตุ้นให้ร่างกายตอบสนองแบบไหน
วันนี้ผมโค้ชเค จะมาไขข้อข้อใจทุกอย่างเกี่ยวกับไขมันในร่างกาย ตามมาเลยครับ
ทำไมการลดไขมัน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย?
วิธีลดไขมันสำหรับผู้หญิงมีเยอะมากครับ ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการกินอาหารแบบคีโต หรือว่าการทำ Intermittent Fasting
โปรแกรมออกกำลังกายต่างๆ ล้วนก็บอกว่า ถ้าทำแล้วจะช่วยลดไขมันส่วนนั้นส่วนนี้ออกไป
ก่อนอื่น ผมอยากแนะนำให้เพื่อนๆมาทำความรู้จักกับร่างกายเรา (ผู้หญิง) ให้ดีขึ้นกันดีกว่าครับ เพราะว่า ร่างกายผู้หญิง จะมีการสะสมไขมันต่างจากผู้ชาย
เพื่อนๆเคยเป็นใช่ไหมครับ ที่แบบว่าออกกำลังกายหนักๆ วิ่งวันละ 10 กิโลเมตร ทั้งตอนเช้าและตอนเย็น น้ำหนักหนะลดลงจริง แต่ทำไมตัวยังนิ่ม ไขมันยังมีเยอะอยู่ โดยเฉพาะไขมันช่วงล่างที่สะโพกและขา
ทำไมคนอื่นเขาออกกำลังกายแค่นิดเดียว ก็ได้ขาและแขนที่เล็กเรียวสวยแล้ว?
ผมได้ศึกษาข้อมูลเชิงลึก และมีกูรูบางท่านบอกว่า ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และ คอร์ติซอล (Cortisol) คือ ฮอร์โมนที่เป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายสะสมไขมันมากขึ้น หรือทำให้เราอ้วนขึ้นนั่นเอง
ถ้าถ้าฮอร์โมน 2 ตัวนี้คือต้นเหตุจริงๆ เพื่อนๆก็แค่ซื้อยาหรืออาหารเสริม ที่จะมาช่วยต้านฮอร์โมนเอสโตรเจน และยาต้านฮอร์โมนคอร์ติโซล แค่นี้ก็แก้ปัญหาได้แล้วใช่ไหมครับ?
ประเด็น คือ การกำจัดไขมันส่วนเกินในร่างกายไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น
เพื่อนๆหลายคนอาจจะบ่นว่า ควบคุมอาหารและออกกำลังกายมาก็หนัก ไขมันไม่ยอมลด ไปดูไขมันออกเลยดีกว่า
แต่ปัญหาที่จะตามมา คือ ร่างกายเราจะเร่งสะสมไขมันมากกว่าเดิม เพราะมันไม่เข้าใจว่า อยู่ดีๆไขมันหายไปไหน!
ไขมันในร่างกาย คืออะไร & มีกี่ชนิด?
ไขมันในร่างกาย (Body Fat) คือ แหล่งพลังงานสำรอง ที่เกิดจากการรวมตัวกันของเซลล์ไขมัน
ที่จริงมันมีชื่อเต็มว่า เนื้อเยื่อไขมัน (Adipose Tissue) ที่มีเซลล์ไขมัน (Adipocyte) รวมตัวกันจนเป็นเนื้อเยื่อ
โดยทั่วไปคนเราจะมี เนื้อเยื่อไขมันสีขาว (White Adipose Tissue) มากที่สุด และนี่ก็คือชนิดของไขมันที่เราควรกำจัดออกไปให้ได้ ถ้าอยากมีเลข 11 มีหุ่นลีนๆ และมีกล้ามท้อง 6 แพ็ก
ไขมันในกล้ามเนื้อ (Intramuscular Triglycerides)
ไขมันที่เราควรรู้จักต่อมา คือ ไขมันในกล้ามเนื้อ (Intramuscular Triglycerides)
ไขมันในกล้ามเนื้อ คือ ไขมันที่ร่างกายจะเผาผลาญมาเป็นพลังงานก่อนเป็นอันดับแรก หลังจากที่ไกลโคเจนหมดไป
เมื่อไขมันในส่วนนี้หมดแล้ว ร่างกายถึงจะไปเผาผลาญไขมันจากส่วนอื่น หรือส่วนไขมันดื้อด้านที่เอาออกยากๆนั่นเองครับ
เนื้อเยื่อไขมันสีขาว (White Adipose Tissue)
เนื้อเยื่อไขมันสีขาว (White Adipose Tissue) จะประกอบไปด้วย ไตรกลีเซอร์ไรด์ (Triglycerides) ประมาณ 90% ส่วนประกอบที่เหลือจะเป็นน้ำ และระบบผลิตเอนไซม์ต่างๆของเซลล์
ไขมันในร่างกาย ทำไมถึงมีเยอะขึ้นเรื่อยๆ?
ร่างกายแต่ละคนจะมีจุดสะสมไขมันที่แตกต่างกัน บางคนก็จะไปลงที่ขา บางคนก็ลงที่แขน และพุง เป็นต้น
ความพิเศษของเซลล์ไขมัน คือ มันสามารถขยายตัวมันเองได้ เมื่อมีอาหารเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ
นั่นหมายความว่า ถ้าเรากินอาหารเข้าไปเยอะๆ เซลล์ไขมันสามารถขยายตัวเพื่อรองรับพลังงานแคลอรี่ที่มากขึ้น
เมื่อเซลล์ไขมันเก็บพลังงานไว้ไม่ไหว (เพราะมีเยอะเกินไป) ร่างกายจะผลิตเซลล์ไขมันขึ้นมาใหม่ได้อีก และบางทีร่างกายเราก็จะเอาไขมันเหล่านี้ไปเก็บตามอวัยวะ เช่น ตับ (ไขมันพอกตับ) ซึ่งปัญหาสุขภาพอื่นๆก็จะตามมา เช่น โรคตับแข็ง เป็นต้น
ลดไขมัน 1 ปอนด์ ต้องกินน้อยลง และเผาผลาญกี่แคลอรี่?
ไตรกลีเซอร์ไรด์ (Triglycerides) คือ เซลล์ไขมันที่เกิดจากการที่ กลีเซอรอล (Glycerol) 1 โมเลกุล ไปรวมตัวกับ กรดไขมันอิสระ (Free Fatty Acid) อีก 3 โมเลกุล
ไขมัน 1 ปอนด์ จะมีน้ำหนัก 454 กรัม ดังนั้น ถ้าเนื้อเยื่อไขมันมี ไตรกลีเซอร์ไรด์ ประมาณ 90% นั่นหมายความว่า ไขมัน 1 ปอนด์จะมีไตรกลีเซอร์ไรด์ประมาณ 400 กรัม
ไขมัน (ไตรกลีเซอร์ไรด์) 1 กรัม จะให้พลังงาน 9 แคลอรี่ (โปรตีนและคาร์โบไฮเดรต ให้พลังงานแค่ 4 แคลอรี่/กรัม) ดังนั้นไขมัน 1 ปอนด์ จะให้พลังงาน 3,600 แคลอรี่ (400 x 9)
ทีนี้เพื่อนๆรู้แล้วนะครับว่า ถ้าจะลดไขมัน 1 ปอนด์ เราต้องต้องกินให้น้อยกว่าที่ร่างกายเผาผลาญประมาณ 3,500 แคลอรี่ ต่ออาทิตย์ หรือกินน้อยลงวันละ 500 แคลอรี่นั่นเอง
ประโยชน์ของไขมันในร่างกาย
เพื่อนๆเคยสงสัยใช่ไหมครับว่า กินน้อยก็อ้วน กินเยอะก็อ้วน ทำไมร่างกายต้องเก็บไขมันไว้เยอะๆด้วย?
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า ร่างกายเราจะทำทุกอย่างเพื่อให้เราอยู่รอด หนึ่งในนั้นก็คือ การสะสมเนื้อเยื่อไขมันไว้เยอะๆ ก็เผื่อว่าวันหนึ่งเราไม่มีอาหารเหลือเลย (เหมือนสมัยมนุษย์ถ้ำ)
ไขมัน 1 ปอนด์ ให้พลังงานถึง 3,600 แคลอรี่ ปริมาณแค่ 1 ปอนด์ เราสามารถเดินห้างได้ทั้งวันโดยไม่ต้องกินข้าวแม้แต่คำเดียว
ผู้หญิงที่มี 6 แพ็ก อาจจะมีไขมันในร่างกายประมาณ 10 ปอนด์ ซึ่งถ้าแปลงเป็นพลังงานก็ปาเข้าไปตั้ง 36,000 แคลอรี่!
คนอ้วนหนัก 100-200 กิโลกรัม น่าจะมีไขมันไม่ต่ำกว่า 100 ปอนด์ ถ้าตีเป็นพลังงานก็น่าจะประมาณ 3 แสนกว่าแคลอรี่ พลังงานขนาดนั้น ผมว่าเขากินแค่น้ำเปล่าอย่างเดียวก็มีชีวิตอยู่ได้สบายๆประมาณ 4-6 เดือน
ผมยกตัวอย่างให้ดู เพื่อที่จะให้เราเห็นภาพว่า ทำไมร่างกายเราถึงชอบสะสมไขมันมากกว่าคาร์โบไฮเดรต
ในทางกลับกัน ไกลโคเจน (Glycogen) ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานคาร์โฮเดรตชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในกล้ามเนื้อและตับ จะเก็บได้ไม่เยอะ และให้พลังงานน้อยกว่าไขมันด้วย
ไกลโคเจน ในปริมาณ 1 กรัม ให้พลังงานแค่ 4 แคลอรี่ ปริมาณที่ร่างกายสามารถเก็บตุนไว้ได้มากสุด ก็แค่ประมาณ 500 กรัม ซึ่งตีเป็นพลังงานแคลอรี่ก็คือ 2,000 แคลอรี่ เท่านั้น
แต่ถ้าเป็นเซลล์ไขมันในปริมาณเท่ากัน 500 กรัม จะให้พลังงานถึง 4,500 แคลอรี่ ปริมาณแคลอรี่ต่างกันมากถึง 2,500 แคลอรี่เลยทีเดียวครับ
อีกเหตุผลหนึ่งที่ร่างกายเราชอบเซลล์ไขมัน คือ เซลล์ไขมัน 1 กรัม มีส่วนประกอบเป็นน้ำ 1 กรัม เท่ากัน ทำให้เซลล์ไขมันมีน้ำหนักเบา ไม่กินพื้นที่ เก็บได้เยอะ
ตัดภาพมาที่ไกลโคเจนและมวลกล้ามเนื้อ ในปริมาณ 1 กรัม มีส่วนประกอบเป็นน้ำถึง 4 กรัม
อีกอย่าง พอร่างกายมีมวลกล้ามเนื้อมากขึ้น ร่างกายก็ยิ่งต้องเผาผลาญพลังงานมารักษามวลกล้ามเนื้อมากขึ้นอีกด้วย
เพื่อนๆจะเห็นว่า ร่างกายเราจะชอบเก็บไขมันไว้เป็นพลังงานมากกว่า เพราะไม่ต้องดูแล เบา และเก็บไว้ได้เยอะครับ
คำแนะนำจากโค้ชเค (Take Home Message)
ไขมันในร่างกาย (ส่วนใหญ่) จะเป็นชนิด เนื้อเยื่อไขมันสีขาว (White Adipose Tissue)
ร่างกายเราชอบสะสมพลังงานไว้ในรูปแบบไขมัน เพราะเซลล์ไขมันเป็นแหล่งพลังงานที่ดี ไขมัน 1 กรัม ให้พลังงานมากถึง 9 แคลอรี่ และน้ำหนักเบา เพราะมีส่วนประกอบเป็นน้ำแค่ 1 กรัม เท่านั้น
เซลล์ไขมันสามารถขยายตัวเพื่อรองรับพลังงานแคอลรี่จากอาหารที่มากขึ้น และเมื่อพลังงานแคลอรี่มีเยอะเกินไป ร่างกายก็จะผลิตเซลล์ไขมันขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ
ถ้าปริมาณเซลล์ไขมันมีเยอะเกินไป จนไม่สามารถเก็บไว้ที่แขน ขา และหน้าท้องแล้ว ร่างกายเราจะเอาไขมันไปเก็บไว้รอบๆหรือภายในอวัยวะ เช่น ตับ เป็นต้น
ถ้าคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์ รบกวนฝากกดปุ่ม Share ด้านล่างรัวๆเลยครับ ขอบคุณครับ
| Follow Us | ช่องทางการอัพเดทข้อมูลข่าวสาร |
LINE@ | Facebook | Instagram |YouTube


