6 แพทย์แผนจีน ที่คุณต้องรู้
ยอมรับมาเถอะค่ะว่า พอนึกถึงแพทย์แผนจีนทีไร เราก็คงนึกถึงอากงแก่ๆ ไม่มีผม (หัวล้าน) มีร้านที่เต็มไปด้วยสมุนไพรในตรอกในซอย พอไปถึงก็คุยนิดหน่อย จับจุดตรงนั้นบ้าง ตรงนี้หน่อย แล้ววินิฉัยและจ่ายยามากิน ครบจบในที่เดียว!
จริงๆแล้ว แพทย์แผนจีนมีอะไรให้เรารู้มากกว่านั้นค่ะ และหมอก็เชื่อว่าหลายคนก็ยังคงสงสัยว่า แพทย์แผนจีนมีอะไรบ้าง ได้ผลหรือเปล่า หรือมีแค่กำกิกเผี่ยงเท่านั้นที่ได้ผล?
ขอแนะนำตัวก่อนค่ะ หมอชื่อหมอจันทร์ (พจ. นุชนาถ ปัดทาศรี) เป็นแพทย์แผนจีน ที่จบ (พจ.บ.) (CM.D.) หลักสูตรร่วม 2 สถาบัน จากวิทยาลัยนครราชสีมา และมหาวิทยาลัยแพทย์จีนเฉิงตู (成都中医药大学) ฝังเข็ม ยาจีน และทุยหนา ที่ประเทศจีน
หมออยากจะให้ความรู้เกี่ยวกับศาสตร์แพทย์ทางเลือกนี้กับผู้อ่านใน Fit Terminal เพื่อให้เข้าใจศาสตร์นี้มากขึ้น และพอมีความรู้ เราก็จะสามารถเลือกการรักษาที่เหมาะสมกับตัวเราที่สุดค่ะ หมอสัญญาว่าจะมีบทความที่เป็นประโยชน์มาเรื่อยๆแน่นอนค่ะ
เอาเป็นว่าเรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าเนาะ…
แพทย์แผนจีน (Chinese Medicine) คืออะไร?
แพทย์แผนจีน (Chinese Medicine) คือ การรักษาแบบฉบับของแพทย์แผนจีนที่ยึดหลักทฤษฎีแบบองค์รวม โดยถือว่าร่างกายของมนุษย์เราเป็นองค์รวมที่มีระบบต่างๆที่มีความเกี่ยวโยงกัน
นึกภาพไปเลยค่ะว่า ระบบทุกอย่างในร่างกายทำงานอย่างสัมพันธ์กัน ซึ่งจากทฤษฎีดังกล่าวก็สามารถนำไปสู่การตรวจวินิจฉัย และการรักษาโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีขั้นตอนดังนี้
โดยปรกติหมอจีนตรวจวินิจฉัยโรคแบบองค์รวม ด้วยการดู (Look) ถาม (Ask) ฟัง (Listen) และการจับ (Touch) เพื่อให้ทราบถึงอาการและสาเหตุของโรคอย่างชัดเจน
จากนั้นก็จะสรุปการวินิจฉัยและกำหนดวิธีการรักษา ซึ่งหากสามารถรักษาได้หลายวิธี แพทย์ก็จะสอบถามความสมัครใจของผู้ป่วยก่อน เพราะพอคนไข้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ การรักษาก็อาจจะได้ผลดีและเร็วขึ้นค่ะ
ในการดำเนินการรักษานั้น โดยวิธีที่นิยมใช้ตามแบบแพทย์แผนจีน คือ การฝังเข็ม การครอบแก้ว การกวาซา การนวดทุยหน่า การเปิดตำรับยาจีน และการใช้โกศจุฬาลัมพา เรามาดูกันเลยค่ะว่า วิธีการรักษาแต่ละอย่าง มีข้อดีและความแตกต่างอย่างไรบ้าง
1. การฝังเข็ม (Acupuncture)
การฝังเข็ม (Acupuncture) เป็นการรักษาโดยใช้เข็มปักลงไปตามจุดฝังเข็มของร่างกาย ซึ่งแพทย์จะต้องมีความเชี่ยวชาญพอสมควรเพราะจุดต่างๆ บนร่างกายของคนเราล้วนมีความสำคัญ หากผิดพลาดเพียงนิดเดียวก็อาจเกิดปัญหาตามมาอย่างคาดไม่ถึง
แต่อย่างไรก็ตามการรักษาด้วยการฝังเข็มก็ถือเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และได้รับการยอมรับจาก องค์การอนามัยโลก (WHO) ว่าสามารถรักษาโรคได้มากถึง 57 โรค เลยทีเดียว
ในบ้านเรา แพทย์แผนปัจจุบันก็ได้สรุปข้อดีของการฝังเข็ม ดังนี้ค่ะ
- กระตุ้นระบบประสาทให้หลั่งสารหลายชนิดในร่างกายออกมา ซึ่งสารส่วนใหญ่จะช่วยระงับอาการปวด (Pain) และลดอาการอักเสบ (Inflammation) ได้เป็นอย่างดี
- แก้ไขการไหลเวียนของเลือดลมปราณที่ติดขัด ทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น และช่วยให้ระบบต่างๆของร่างกาย ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ช่วยคลายการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ทำให้อาการปวดบรรเทาลงโดยไม่ต้องรับประทานยา ข้อนี้สำคัญมากสำหรับคนออกกำลังกายและนักกีฬาค่ะ
- กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงมากขึ้น ซึ่งจะลดอาการเจ็บป่วยจากไข้หวัดและโรคเรื้อรังอื่นๆ
- ปรับภาวะความสมดุลของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย พร้อมเสริมสร้างระบบการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
2. การครอบแก้ว (Cupping Therapy)
การครอบแก้ว (Cupping Therapy) วิธีนี้นิยมใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดและกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดค่ะ ซึ่งจะใช้ระบบความร้อน หรือ การดูดอากาศออกไป โดยนำแก้วมาครอบกดลงไปบนผิวจนผิวหนังถูกดูดเข้าไปในแก้ว
ซึ่งหลังจากการครอบแก้ว ผิวอาจดูคล้ำเล็กน้อยแต่ไม่ต้องกังวลค่ะ เพราะประมาณ 5-7 วัน รอยคล้ำดังกล่าวจะค่อยๆ จางหายไปเอง นอกจากนี้ การครอบแก้วตามแบบแพทย์แผนจีนก็ยังสามารถใช้เพื่อเสริมความงามได้อีกด้วย โดยจะทำให้ผิวพรรณมีความเปล่งปลั่ง สดใสและดูมีเลือดฝาด เหมาะมากกับคนออกกำลังกายที่อาจจะต้องเจอแดดและมลพิษค่ะ
3. การกวาซา (Guasa)
การกวาซา (Guasa) เป็นการรักษาแบบบำบัดด้วยการขูดผิวหนัง โดยจะใช้เขาสัตว์หรือหยกในการขูดเพื่อขับพิษออกไปจากร่างกาย
ซึ่งมีข้อดีที่เด่นๆ ดังนี้ค่ะ
- ขยายรูขุมขนให้เปิดกว้างทำให้สารพิษถูกขับออกมาพร้อมกับเหงื่อได้ง่ายขึ้น
- สามารถกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่าพร้อมสร้างเซลล์ผิวใหม่ได้ดี
- ฟื้นฟูระบบภูมิต้านทานโรคให้มีความแข็งแรง พร้อมป้องกันและขับโรคร้ายออกจากร่างกาย
- บรรเทาอาการปวดเมื่อย ชาตามร่างกายและอาการปวดหัวตัวร้อน โดยเฉพาะในคนที่เป็นไข้หวัด
- กระตุ้นการหมุนเวียนของโลหิตภายใต้ผิวหนัง ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
สำหรับวิธีนี้หลังการรักษา ผิวหนังอาจมีรอยแดงคล้ำบ้าง แต่จะค่อยๆ หายไปเองภายใน 5-7 วัน และนอกจากรักษาโรคแล้ว การกวาซาก็สามารถทำกับใบหน้าเพื่อให้ผิวมีความอ่อนเยาว์ ลดรอยเหี่ยวย่นได้ดีอีกด้วย
4. การเปิดตำรับยาจีน (Chinese Medicine Prescription)
การเปิดตำรับยาจีน (Chinese Medicine Prescription) เป็นการรักษาโรคโดยการใช้ยาจากตำรับยาจีน โดยแพทย์จะสอบถามอาการของผู้ป่วยอย่างละเอียด จากนั้นจึงเลือกตัวยาที่มีคุณสมบัติในการรักษาอาการดังกล่าว หรือกล่าวง่ายๆ คือ ตำรับยาจีนก็เป็นการรักษาตามสาเหตุและอาการของโรคนั่นเองค่ะ
ซึ่งอาจมีการใช้ยาหลายๆตัวที่มีสรรพคุณคล้ายกัน เพื่อเสริมฤทธิ์ยาให้มีประสิทธิภาพในการรักษามากขึ้น โดยส่วนใหญ่ยาที่นำมาเข้าตำรับแล้วจะออกมาในรูปของ ยาต้ม ยาแคปซูล ยาผง และยาเม็ดลูกกลอนค่ะ
5. การนวดทุยหน่า (Tuina)
การนวดทุยหน่า (Tuina) เป็นการนวดตามศาสตร์ของแพทย์แผนจีน ซึ่งจะใช้วิธีการนวดที่มีทักษะและเทคนิคพอสมควรค่ะ (ไม่ใช่ใครก็นวดได้)
โดยการนวดทุยหน่าจะนิยมใช้เพื่อการบำรุงสุขภาพ ระบบกระเพาะอาหาร และนวดเพื่อสร้างความผ่อนคลายให้กับร่างกาย ประโยชน์ที่ตาม คือ ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้นพร้อมเสริมให้เอ็นและไขข้อมีความแข็งแรงอีกด้วย
6. อ้ายเย่ (艾叶)หรือ โกฐจุฬาลัมพา (Artemisia vulgaris L)
โฏฐจุฬาลัมพา คือ การรมยา ซึ่งปกติเราใช้อ้ายเย่ ( 艾叶) มาปั้นเป็นก้อน หรืออยู่ในรูปแบบแท่ง ซึ่งมีคุณสมบัติในการเพิ่มความอุ่นเข้าสู่เส้นลมปราณ ช่วยรักษาโรคต่างๆและส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ชาวจีนก็มีความเชื่อว่า การรักษาด้วยชิงเฮาอาจจะช่วยให้มีอายุวัฒนะได้อีกด้วย สำหรับวิธีการรมจะใช้ความร้อนรมบริเวณจุดฟังเข็มและจุดต่างๆ ของร่างกายที่ต้องการ ประโยชน์หรือการออกฤทธิ์ก็มาจากน้ำมันหอมระเหยจากแท่งโกศจุฬาลัมพานั่นเองค่ะ
ฝากไว้…ก่อนไป
แพทย์แผนจีนอาจดูเหมือนเป็นวิธีการรักษาที่เหลือเชื่อและไม่น่าใช้รักษาโรคได้ แต่ก็ได้พิสูจน์มาแล้วว่าการรักษาตามแบบแพทย์แผนจีนสามารถรักษาโรคต่างๆ ได้จริง ซึ่งก็ให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก
ดังนั้นในปัจจุบันแพทย์แผนจีนจึงมีความแพร่หลายมากขึ้น แม้ในการแพทย์ของไทยก็ได้มีการนำวิธีการรักษาแบบชาวจีนมาใช้รักษาผู้ป่วยเช่นกัน โดยแพทย์ที่ทำการรักษาจะเป็นแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะ เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพและเกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด
มีคำถามหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับแพทย์แผนจีน คอมเมนท์ด้านล่างหรือติดต่อเข้ามาที่เพจได้เลยค่ะ
ถ้าคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์ ช่วยกดแชร์ด้วยนะค่ะ