Platelet-rich Plasma ช่วยลดอาการบาดเจ็บได้ไหม?
Platelet-rich Plasma หรือ PRP ถูกยกให้เป็นหนึ่งในวิธีการรักษาอาการบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย และเร่งการฟื้นตัวให้เร็วขึ้นด้วย
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราอาจจะเคยเห็นนักกอล์ฟมืออาชีพอย่าง ไทเกอร์ วูดส์ (Tiger Woods) และนักเทนนิสชื่อดังอย่าง ราฟาเอล นาดาล (Rafael Nadal) ที่เคยเข้ารับการรักษาด้วย PRP
และพวกเขาก็ออกมายืนยันด้วยว่า เหตุผลที่หายจากการบาดเจ็บและพร้อมกลับมาแข่งขันได้เร็วขึ้น ก็เป็นเพราะเข้ารับการรักษาด้วย PRP นั่นเอง
วันนี้ ผมโค้ชเค จะพาทุกคนมาไปรู้จักกับ PRP ว่าคืออะไร มีความเสี่ยงหรือผลข้างเคียงหรือเปล่า และได้ผลมากแค่ไหน อยากรู้…ตามมาเลยครับ
Platelet-rich Plasma (PRP) สำหรับอาการบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย
Platelet-rich Plasma (PRP) คือ วิธีการรักษาอาการบาดเจ็บในนักกีฬาและคนออกกำลังกายแบบหนึ่ง โดยการใช้เลือดของเราเองมาปั่น เพื่อแยกเอาแค่ส่วนประกอบที่สำคัญ (เกร็ดเลือด)และเพิ่มความเข้มข้นมากขึ้น และฉีดกลับไปตรงจุดที่มีอาการบาดเจ็บ เพื่อลดอาการปวดและเร่งการฟื้นตัว
นักวิชาการเชื่อว่า การฉีด PRP เข้าไปตรงที่บาดเจ็บ เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายผลิตเซลล์ที่แข็งแรงขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวจากการบาดเจ็บ
PRP นำมาใช้ครั้งแรกมาตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว และค่อนข้างมีความปลอดภัยสูง เพราะเลือดที่นำมาสกัดนั้นเป็นเลือดของเราเอง
ทุกวันนี้วงการแพทย์บ้านเราก็นำมาปรับใช้กับการรักษา ไม่ว่าจะเป็นการบาดเจ็บเกี่ยวกับกระดูกและข้อที่มีงานวิจัยรองรับ และผิวหนังด้านความงาม (ด้านนี้ยังไม่มีงานวิจัยรอบรับครับ)
ก่อนที่จะมารู้จัก PRP ว่าคืออะไร เราไปรู้จักเลือดของเราให้มากขึ้นก่อนดีกว่า เลือดของเราจะประกอบไปด้วย
- เซลล์เม็ดเลือดแดง (Red Blood Cell)
- เซลล์เม็ดเลือดขาว (White Blood Cell)
- เกล็ดเลือด (Platelet)
- พลาสมา (Plasma)
เพื่อที่จะได้ PRP มา เลือดเราต้องถูกปั่นเพื่อแยกส่วนประกอบเหล่านี้ออกจากกันก่อนครับ
เกล็ดเลือด (Platelet) คือ ส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดสำหรับ PRP เพราะมีส่วนช่วยลดอาการปวดจากการบาดเจ็บ และเร่งการฟื้นตัวด้วย
เราจะเข้าใจมาตลอดว่าเกร็ดเลือดเป็นเหมือนพลาสเตอร์ไปอุดตรงแผลให้เลือดหยุดไหล ใช่ไหมครับ? จริงๆแล้ว เกล็ดเลือดมีสาร Growth Factors มากกว่า 1,500 ชนิด และอุดมไปด้วยโปรตีน (พลาสมา) ที่ช่วยให้แผลและอาการบาดเจ็บหายเร็วขึ้น
Growth Factors เป็นสารชั้นยอดในการช่วยรักษาอาการบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย เช่น อาการบาดเจ็บจากกล้ามเนื้อฉีกขาดเฉียบพลัน เส้นเอ็นอักเสบเรื้อรัง และปวดตามข้อ เป็นต้น และนี่ก็คือที่มาของ PRP สำหรับคนออกกำลังกาย
ขั้นตอนการเตรียม PRP
ก่อนอื่นผมอยากบอกว่า PRP สำหรับรักษาอาการบาดเจ็บของนักกีฬา เราควรใช้บริการกับหมอกระดูก (Orthopaedic) เพราะมีความชำนาญมากที่สุด
ในการรักษาหมออาจจะฉีดยาชาให้เราก่อน เพื่อที่ตอนฉีดเราจะได้สบายตัวขึ้ ไม่ต้องทนเจ็บ บางทีหมออาจจะฉีดยาชาไปพร้อมกับ PRP เลย ดังนั้นเราต้องเลือกก่อนว่าเราชอบแบบไหนมากที่สุด
ขั้นตอนในการเตรียมตัวที่ต้องรู้
- เมื่อเราไปถึงสถานพยาบาล หมอก็จะดูดเลือดเราไป ปริมาณก็ขึ้นอยู่กับว่าจะไปฉีดบริเวณไหน
- จากนั้นเลือดเราจะถูกปั่นด้วยเครื่องปั่น หรือ Centrifuge Kit ทำให้ส่วนประกอบของเลือดต่างๆแยกออกจากกัน ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาไม่เกิน 15 นาที ความเข้มข้นของพลาสมาจะเพิ่มขึ้นเป็น 5-10 เท่า
- จากนั้นหมอก็จะแยกตัวพลาสมา (Plasma) ออกมาเพื่อเตรียมฉีดเข้าบริเวณที่บาดเจ็บ
- เพื่อความแม่นยำ หมอจะใช้เครื่องมือช่วยเช่น อัลตราซาวน์ (Ultrasound) จากนั้นก็จะเริ่มฉีดทันทีเลยครับ
ขั้นตอนทั้งหมดที่ผมเกริ่นไป จะใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง ส่วนราคาของ PRP จะขึ้นอยู่กับว่าเราไปใช้บริการที่โรงพยาบาลหรือว่าคลินิก ประสบการณ์ของหมอ และเครื่องมือที่นำมาปั่นเลือด (เครื่องปั่นคือตัวแปรที่สำคัญมาก เพราะจำนวนรอบและเวลาในการปั่น มีผลต่อคุณภาพของตัว Growth Factors ครับ)
ก่อนเข้ารับการรักษา ผมแนะนำให้ศึกษาข้อมูลให้ละเอียด และโทรไปปรึกษาก่อนครับ
PRP มีผลข้างเคียงหรืออันตรายไหม?
เราต้องเข้าใจก่อนครับว่า เมื่อเข็มแทงผ่านเนื้อเข้าไปแล้ว อาการแพ้ตรงจุดนั้นก็อาจจะเกิดขึ้นได้ เช่น (ถ้าดูแลแผลไม่ดี) จุดที่ฉีดอาจจะติดเชื้อ หรืออาการปวดตรงจุดที่ฉีดก็อาจจะเกิดขึ้นได้ครับ
ในส่วนของ PRP เองแทบจะไม่มีอาการแพ้เลย เพราะ PRP มาจากเลือดเราเอง ซึ่งจะต่างกันกับการรักษาอาการบาดเจ็บแบบเดิม ที่จะใช้สาร Hyaluronic Acid หรือ Cortisone สารเหล่านี้ทำให้แพ้ได้ครับ
ถ้ามีคำถามหรือเป็นคนแพ้อะไรง่ายๆ ผมแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ และสอบถามให้ละเอียดก่อนรับการรักษาครับ
PRP รักษาอะไรได้บ้าง?
ผมขอเน้นอาการบาดเจ็บหลักๆที่พบบ่อยที่สุดในคนออกกำลังกายแล้วกันนะครับ
- เส้นเอ็นอักเสบ เช่น ที่ข้อศอก (Elbow) หน้าเข่า (Knee) เอ็นร้อยหวาย (Achilles) ข้อพับด้านหลัง (Hamstring) และสะโพก (Gluteus)
- การบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ เช่น กล้ามเนื้อต้นขาและน่อง เป็นต้น
- อาการปวดตามข้อตามข้อต่างๆ เช่น ข้อเข่า เป็นต้น
การรักษาด้วย PRP ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะเห็นผล?
อย่างที่ผมเกริ่นไปว่า เกร็ดเลือดที่สกัดออกมาจะเข้าไปกระตุ้นให้เซลล์บริเวณที่บาดเจ็บแข็งแรงมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวในระยะยาว และลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บเรื้องรัง
แต่…เราจะไม่เห็นความแตกต่างเลยทันที เท่าที่ผมศึกษาบางคนอาจจะยังมีอาการบาดเจ็บอยู่ประมาณ 1-2 อาทิตย์ จากนั้นอาการก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ
สังเกตง่ายๆเลยว่า บริเวณที่ฉีดแผลจะหายเร็วกว่าปกติ และบางทีอาจจะมีขน (Hair) ขึ้นตรงบริเวณนั้นด้วยครับ
หลังจากฉีด PRP แล้ว เราก็กลับบ้านและใช้ชีวิตตามปกติได้เลย หมออาจจะแนะนำให้เราพักผ่อน หรืองดใช้งานบริเวณที่มีอาการบาดเจ็บด้วย
คำแนะนำจากโค้ชเค (My Two Cents)
งานวิจัยส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การศึกษาเกี่ยวกับการบาดเจ็บของเส้นเอ็น และกระดูกและข้อเป็นหลัก ในการรักษาแบบอื่นนั้น ในวงการแพทย์ยังต้องมีการศึกษามากกว่านี้ครับ
อย่างไรก็ตาม PRP ก็น่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับใครที่มีอาการบาดเจ็บ และกลัวว่ามันอาจจะเรื้อรังไปถึงขั้นที่ต้องผ่าตัด และที่สำคัญ ไม่มีใครแพ้เลือดของตัวเองแน่นอนครับ