ไม่สบาย ออกกำลังกายได้ไหม?
สวัสดีครับ โค้ชเค Fitterminal.com
เพื่อนๆเคยสับสนเหมือนกันไหมครับว่า ถ้าเราไม่สบาย หรือป่วยอยู่ เราควรให้ร่างกายพักจนกว่าจะหายดีก่อน หรือว่ายังสามารถออกกำลังกายได้อยู่ และที่สำคัญ เราจะรู้ได้ยังไงว่า ร่างกายเราพร้อมที่จะกลับมาออกกำลังกายตอนไหน
เช่น ถ้าเราเป็นหวัด คัดจมูก และมีน้ำมูกนิดหน่อย ถ้าออกกำลังกายแล้วร่างกายจะทรุดมากกว่าเดิมหรือเปล่า เป็นต้น
เพราะเพื่อนๆส่วนใหญ่ก็คงไม่อยากจะหยุดออกกำลังกาย เพราะอาจจะกลัวว่าไม่ต่อเนื่อง หรือกลัวว่าจะขี้เกียจไปเลย
บางทีเราก็อาจจะยังรู้สึกฟิตอยู่ด้วย และถ้าได้ออกกำลังกายให้เหงื่อออกหน่อย มันก็น่าจะช่วยให้เราหายป่วยได้เร็วขึ้นหรือเปล่า?
วันนี้ผมโค้ชเคจะพาเพื่อนๆไปดูครับว่า เราควรจะออกกำลังกายตอนที่ไม่สบายหรือเปล่า และจะมีทิปส์ดีๆมาแนะนำเช่นเคย ตามมาเลยครับ
ไม่สบาย ควรออกกำลังกายไหม?
เพื่อนๆอาจจะเคยได้ยินว่า ถ้าเราป่วยไม่หนัก เราก็อาจจะสามารถออกกำลงกายได้ เช่น เดินเร็ว หรือวิ่งประมาณ 40 นาที เพื่อให้เหงื่อออก และช่วยให้หายป่วยเร็วขึ้น
แต่บางที พอเราฝืนออกกำลังกายแล้ว ร่างกายกลับทรุดมากกว่าเดิม เช่น รู้สึกแสบคอ คัดจมูก และปวดหัวหนักกว่าเดิม เป็นต้น
แน่นอนครับว่า การออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายเราแข็งแรงขึ้น และจากการศึกษาก็พบด้วยว่า การออกกำลังกายยังจะช่วยลดน้ำหนัก และลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่างๆ โดยเฉพาะโรคเบาหวาน และโรคหัวใจ เป็นต้น (1, 2)
แต่เวลาที่เราป่วยไม่สบาย มันก็อาจจะทำให้เราสับสนได้ว่า ตกลงเราควรไปต่อหรือพอแค่นี้ เพื่อให้ร่างกายได้พักฟื้น หรือหายดี 100% ก่อน?
โดยทั่วไป ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่จะแนะนำว่า ถ้าเรามีอาการไม่สบายที่อยู่เหนือคอขึ้นมา หรือว่า “Above the neck” เราอาจจะสามารถออกกำลังกายได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ฟิตเต็ม 100% ก็ตาม
เช่น ถ้าเรารู้สึกคัดจมูก จามบ้างบางครั้ง และมีอาการปวดหูนิดหน่อย แต่ก็ยังมีแรงทำกิจกรรมต่างๆได้อยู่ เราอาจจะออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นต่ำ และใช้เวลาสั้นกว่าปรกติ เป็นต้นครับ (3)
แต่ถ้าเรามีอาการผิดปรกติของร่างกายต่ำกว่าคอลงมา เช่น รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว มีไข้ตัวร้อน ท้องเสีย ปวดแสบหน้าอก และไอมีเสมหะ เราก็ควรหยุดออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายได้พักฟื้น และหายดีก่อนดีกว่าครับ
3 สัญญาณอันตราย ที่บอกว่าเราไม่ควรออกกำลังกาย
1. มีไข้สูง (High Fever)
ถ้าร่างกายเราติดเชื้อไว้รัส หรือเชื้อแบคทีเรีย และมีไข้สูงกว่า 37 องศาเซลเซียส เราไม่ควรออกกำลังกายเลย เพราะร่างกายจะทรุดหนักลงหนักกว่าเดิมได้ (4)
นั่นเป็นเพราะว่า การออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นสูงๆ เช่น การวิ่ง หรือการเล่นเวทเทรนนิ่ง จะเข้าไปกดภูมิคุ้มกันของร่างกายเรา จนไม่สามารถสู้กับเชื้อโรคได้ (5)
และในช่วงติดเชื้อนี้ เราอาจจะรู้สึกอ่อนแรง ปวดตามกล้ามเนื้อ เบื่ออาหาร ร่ายกายขาดน้ำ และรู้สึกคอแห้งได้ด้วย
ซึ่งก็อาจจะทำให้เราไม่มีแรงออกกำลังกาย มีความฟิตหรือความทนทานน้อยลง และอาจจะทรงตัวไม่ค่อยดี จนเสี่ยงที่จะหกล้ม และบาดเจ็บได้ครับ เป็นต้นครับ (6)
ถึงแม้ว่าอาการป่วยจากไข้หวัด อาจจะหายไปภายใน 2-3 อาทิตย์ แต่เราก็ยังไม่ควรที่จะโหมออกกำลังกายหนักเลยทันที เพราะว่าร่างกายอาจจะปรับตัวไม่ทัน จนกลับไปป่วยเหมือนเดิมได้
นอกจากนี้ เวลาเราไอหรือจาม เชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไว้รัส อาจจะกระจายไปในอากาศได้ไกลมากๆ หรือเราอาจจะแพร่เชื้อไปติดคนอื่นได้ด้วยครับ
2. ไอบ่อยๆ & ไอมีเสมหะ (Productive Coughs)
เพราะการที่เราไอบ่อยๆ หรือไอแบบมีเสมหะ ระบบทางเดินหายใจอาจจะติดเชื้อ หรือเราอาจจะเสี่ยงที่จะเสี่ยงเป็นโรคปอดอักเสบได้
ต่อมา ระหว่างออกกำลังกาย การไอบ่อยๆอาจจะทำให้เราออกกำลังกายไม่สะดวก และการหายใจเข้า-ออก ก็อาจจะไม่เต็ม 100%
โดยเฉพาะในช่วงที่เหนื่อยหอบ หรือหายใจไม่ทัน ซึ่งก็อาจจำทำให้เสี่ยงที่จะบาดเจ็บ และป่วยหนักขึ้นกว่าเดิมได้ครับ
3. ท้องเสีย & ลำไส้แปรปรวน (Upset Stomach)
ถ้าระบบย่อยอาหาร หรือ Digestive System มีการติดเชื้อ ท้องไส้เราก็อาจจะมีอาการผิดปรกติขึ้นมาทันทีได้ เช่น เราอาจจะรู้สึกเวียนหัว เริ่มท้องเสีย อยากจะอาเจียน เบื่ออาหาร และเป็นตระคริวที่ท้องได้ เป็นต้น
โดยเฉพาะอาการท้องเสีย และอาเจียน ที่อาจจะทำให้ร่างกายเราเสี่ยงที่จะขาดน้ำ และอาการก็อาจจะทรุดหนักได้อย่างรวดเร็วด้วย (7)
แถมถ้าเรามีไวรัสลงกระเพราะ หรือมี Stomach Flu ด้วย เราก็อาจจะสามารถแพร่เชื้อไว้รัสให้กับคนรอบข้างได้ด้วย
ดังนั้น ถ้าระบบย่อยอาหารยังผิดปรกติอยู่ เราก็ควรหยุดออกกำลังกายไปก่อน เริ่มดื่มน้ำมากขึ้นเพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ กินอาหารที่มีประโยชน์ที่ย่อยง่าย และมีเส้นใยอาหารสูงๆ และพักให้เพียงพอก่อนดีกว่า เป็นต้นครับ
พอเริ่มหายป่วยแล้ว เราจะกลับมาออกกำลังกายได้ตอนไหน?
เพื่อนๆครับ ความแข็งแรงของร่างกายเราอาจจะไม่เหมือนคนอื่น และเราอาจจะต้องใช้เวลาในการพักฟื้นตัวตามอาการป่วยที่เรามีมากกว่าปรกติด้วย
แต่ถึงอย่างไรก็ตามครับ หลังจากหายป่วยแล้ว เราควรเริ่มสังเกต และฟังร่างกายเราให้ดีก่อน ถ้ามีคำถามควรปรึกษาแพทย์ก่อนดีกว่าครับ
1. เป็นไข้หวัด (Flu/Fever)
โดยทั่วไป ถ้าเรายังมีไข้ต่ำๆ เช่น อาจจะยังจาม มีน้ำมูกบ้าง และเวียนหัวนิดหน่อย เราอาจจะออกกำลังกายเบาๆ หรือมี Intensity ต่ำๆ และใช้เวลาไม่นานเพื่อเรียกเหงื่อได้ เช่น เดินเร็วประมาณ 30-45 นาที เป็นต้น (8)
สิ่งที่ต้องระวัง คือ ในช่วงนี้ เชื้อไวรัส COVID-19 ยังระบาดอยู่ ดังนั้น เราควรรักษาระยะห่าง หรือมี Social Distancing เพื่อลดการแพร่เชื้อให้กับคนอื่นด้วยดีกว่าครับ
ต่อมา เราก็ควรรักษาความสะอาด หรือ Personal Hygiene ด้วยการล้างมือบ่อยๆ ใส่หน้ากากอนามัย และปิดปากเวลาจามหรือไอ เป็นต้นครับ (9)
2. เจ็บหู หรือหูอักเสบ (Earache)
อาการเจ็บหูในผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่ต้นเหตุจะเกิดจากการเจ็บคอ แล้วลามไปถึงหู หรือบางที ถ้าเรามีอาการไซนัส หรือปวดฟันด้วย หูสองข้างก็อาจจะมีอาการปวดได้เหมือนกันครับ (10)
ซึ่งอาการปวดหู ถึงแม้ว่าจะดูไม่รุนแรง แต่ก็อาจจะทำให้เราเวียนหัว มีไข้สูง และทรงตัวไม่ค่อยอยู่ จนอาจจะทำให้เราหกล้มจนบาดเจ็บได้ เป็นต้นครับ (11)
โดยทั่วไป เราจะสามารถออกกำลังกายเบาๆได้ แต่เราควรเลี่ยงท่าออกกำลังกาย ที่ทำให้เลือดไหลไปกองกันอยู่ที่ศีรษะก่อนดีกว่าครับ
3. คัดจมูก และมีน้ำมูก (Running Nose)
ถึงแม้ว่าอาการคัดจมูก และมีน้ำมูกไหลส่วนใหญ่ จะทำให้เรารู้สึกรำคาญ และไม่สบายตัวเท่านั้น
แต่เรายังไม่ควรออกกำลังกาย ถ้ายังไอแบบมีเสมหะ และมีอาการปวดหรือแน่นหน้าอกอยู่
และถึงแม้ว่า การออกกำลังกายจะช่วยให้เราหายใจได้คล่องขึ้นก็ตาม แต่บางทีร่างกายเราอาจจะยังไม่พร้อม และถ้าจะให้ดี เราก็ควรรอจนกว่าจมูกไม่มีน้ำมูกไหลแล้ว และหายใจได้คล่องขึ้นก่อนดีกว่าครับ
ต่อมา เพื่อลดการแพร่เชื้อ ช่วงนี้เราก็ควรหยุดไปยิม หรือออกกำลังกายในที่สาธารณะที่มีคนเยอะๆก่อน และการออกกำลังกายควรเน้นไปที่การเดิน หรือปั่นจักรยานก่อนดีกว่าครับ
4. อาการเจ็บคอ (Sore throat)
ถ้าเราเป็นหวัดหรือมีไข้จากการติดเชื้อไว้รัส เราก็อาจจะมีอาการเจ็บคอได้
ดังนั้น ถ้าเราไอแล้วมีเสมหะ หรือกลืนอาหารและน้ำลำบาก เราก็ควรจะหยุดออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ และกินยาแก้อักเสบก่อนดีกว่าครับ
พออาการเริ่มดีขึ้นแล้ว เราค่อยมาเริ่มออกกำลังกายเบาๆก่อน และควรดื่มน้ำบ่อยขึ้นด้วย เพื่อลดความเสี่ยงที่ร่างกายจะขาดน้ำ และลดอาการเจ็บคอครับ
คำแนะนำจากโค้ชเค (Take Home Message)
เพื่อนๆจะเห็นแล้วนะครับว่า ถึงแม้ว่าการออกกำลังกายจะช่วยให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงขึ้น และช่วยให้เราไม่ป่วยบ่อยๆ
ประเด็น คือ เราควรให้เวลากับร่างกายได้พักฟื้นตัวเองจากอาการป่วยก่อน ก่อนที่จะกลับมาออกกำลังกายเหมือนเดิม
แน่นอนว่า เพื่อนๆหลายคนอาจจะกังวลว่า การหยุดออกกำลังกายไปนานๆ จะทำให้เราอ้วนขึ้นหรือเปล่า ร่างกายสูญเสียมวลกล้ามเนื้อมากขึ้น และความแข็งแรงจะหายไปหมดไหม?
แต่จริงๆแล้ว ถ้าการไดเอทของเรายังดีอยู่ เราจะไม่อ้วนขึ้นแน่นอน และถึงแม้ว่าความฟิตของเราอาจะลดลง หลังจากที่หยุดออกกำลังกายนานเกินกว่า 10 วันก็ตาม แต่พอกลับมาออกกำลังกายใหม่ เราก็จะสามารถเรียกความฟิตกลับมาได้ภายใน 1 อาทิตย์
และงานวิจัยหลายชิ้นพบว่า โดยทั่วไปร่างกายเรา จะเริ่มสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ ประมาณ 3 อาทิตย์ หลังจากที่เราหยุดออกกำลังกายครับ (12, 13, 14, 15)
สิ่งสำคัญ คือ หลังจากหายป่วยแล้ว เราควรค่อยๆเพิ่มความเข้มข้น และเวลาในการออกกำลังกายมากขึ้นเรื่อยๆ
เริ่มฟังและสังเกตร่างกายมากขึ้น เพราะร่างกายเราอาจจะยังไม่แข็งแรงเท่าเดิม และพยายามดื่มน้ำเยอะๆทั้งก่อน ระหว่าง และหลังออกกำลังกายด้วยนะครับ
เพื่อนๆมีวิธีดูแลตัวเองยังไงบ้างครับ ระหว่างที่เราไม่สบาย?
ถ้าเพื่อนๆยังมีคำถาม หรือคำแนะนำดีๆ คอมเมนต์หรือว่ามาแชร์ประสบการณ์ได้เลยที่ด้านล่าง
และถ้าตอนนี้เพื่อนๆไม่อยากเสียเวลาไปกับการลดไขมัน และการออกกำลังกายที่ผิดวิธี และอยากจะมีหุ่นในฝันให้ตัวเองภูมิใจ ภายใน 3-6 เดือนนี้
แอดไลน์มาตาม Link ด้านล่าง มาสอบถาม และพูดคุยกันก่อน และถ้าเคมีเราตรงกัน ผมก็มีคอร์สออนไลน์ที่ออกแบบมาสำหรับเพื่อนๆโดยเฉพาะ
| Follow Us | ช่องทางการอัพเดทข้อมูลข่าวสาร | YouTube | Facebook | Instagram | LINE @