ลดน้ำหนัก & ลดไขมัน วันหนึ่งควรกินไม่เกินกี่แคลอรี่?
แน่นอนครับว่า ถ้าเป้าหมายของเรา คือ อยากจะลดน้ำหนักให้ได้ผลดี เราจะต้องปรับพลังงานแคลอรี่ลง หรือกินน้อยกว่าที่ร่างกายเผาผลาญ เพื่อให้เกิด Calorie Deficit
แต่ปัญหาที่เพื่อนๆส่วนใหญ่จะเจอกัน คือ เราอาจจะยังไม่แน่ใจว่า จริงๆแล้ว ใน 1 วัน เราจะต้องกินไม่เกินกี่แคลอรี่ ถึงจะเหมาะกับรูปร่าง เป้าหมาย และการออกกำลังกายของเรา
เช่น ถ้าเรากินน้อยลงแค่วันละ 800-1,000 แคลอรี่ ในช่วงแรก แล้วค่อยกินเพิ่มทีหลังตอนลดน้ำหนักลงได้แล้ว มันจะน้อยเกินไป จนเสี่ยงที่จะโยโย่หรือเปล่า
และจริงๆแล้ว วิธีลดน้ำหนักที่ถูกต้อง มันเป็นแบบไหน ถ้าแคลอรี่ยังไม่เกินกำหนด เราจะกินของผัดของทอดได้หรือเปล่า และจำเป็นต้องนับแคลอรี่ให้เป๊ะ 100% ไหม เป็นต้น
สวัสดีครับ โค้ชเค Fitterminal.com และวันนี้ ผมจะพาไปทุกคนไปดูว่า ถ้าเราจะลดน้ำหนักให้ได้ผลดีทันใจ และไม่เสี่ยงที่จะโยโย่ด้วย เราควรกินอาหารวันละไม่เกินกี่แคลอรี่ และจะมีทิสป์ดีๆมาแชร์ด้วยเช่นเคย ตามมาเลยครับ
กินอาหารวันละกี่แคลอรี่ ถึงจะลดน้ำหนักได้ผลดี?
แน่นอนครับว่า เหตุผลที่เราอ้วนขึ้น จะเป็นเพราะว่าเราตามใจปาก หรือกินอาหารเยอะเกินไป จนร่างกายได้รับพลังงานมากกว่าที่ใช้
ดังนั้น ถ้าเราจะลดน้ำหนักลงให้ได้ 5-10 กิโลกรัม ภายใน 1-2 เดือน เราก็จะต้องเริ่มกินอาหารน้อยลง และเพิ่มอัตราการเผาผลาญด้วยการออกกำลังกาย และเคลื่อนไหวระหว่างวันมากขึ้นด้วย เพื่อให้มี “Caloric Deficit”
ทีนี้ ปัญหามันอยู่ตรงที่ เราอาจจะงงๆว่า ถ้าเรากินน้อยลงแค่นิดเดียว น้ำหนักอาจจะลดลงช้ามาก จนเรารู้สึกท้อ หมดกำลังใจ และดูเหมือนย่ำอยู่กับที่
แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเรากินน้อยเกินไป เช่น แค่วันละ 800-1,000 แคลอรี่ หรือพลังงานที่ร่างกายได้รับต่ำกว่าวันละ 1,200 แคลอรี่
เราก็อาจจะดูโทรม ระบบเผาผลาญอาจจะพัง และเราอาจจะโยโย่ในที่สุด เพราะเราจะตบะแตก และร่างกายจะมีการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อด้วย
เพราะจริงๆ ในการลดน้ำหนักและลดไขมัน เราควรปรับการไดเอทและการออกกำลังกายให้ดีขึ้น เพื่อให้ไขมันลดลงมากที่สุด
และสามารถรักษามวลกล้ามเนื้อไว้ด้วย เพื่อที่จะได้มีหุ่นที่ลีน กล้ามเนื้อกระชับ และกลับไปใส่เสื้อผ้าตัวเดิมได้ นั่นเองครับ
ดังนั้น วิธีลดน้ำหนักที่ถูกต้อง เราควรรู้ว่า ใน 1 วัน เราจะต้องกินให้ได้ไม่น้อยกว่า หรือไม่เกินกี่แคลอรี่ เพื่อให้เหมาะสมกับระดับกิจกรรม เป้าหมาย และสภาพร่างกายเราตอนนี้
และนี่คือ 3 วิธี คำนวณแคลอรี่ที่เราควรกินต่อวัน เพื่อลดน้ำหนัก และลดไขมันให้ได้ผลดี และไม่เสี่ยงที่จะโยโย่ครับ
1. กะปริมาณพลังงานแคลอรี่ที่เรากิน ใน 1 วันให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริง
ก่อนอื่น อัตราการเผาผลาญขั้นพื้นฐาน เพื่อการอยู่รอด หรือพลังงานแคลอรี่ที่ร่างกายเราจะต้องได้รับใน 1 วัน จะเรียกว่า ค่า “Basal Metolic Rate” หรือ BMR
ส่วนอัตราการเผาผลาญพลังงานแคลอรี่ใน 1 วัน หรือพลังงานที่ร่างกายเราใช้ 100% จะเรียกว่าค่า Total Daily Energy Expenditure หรือ TDEE
ซึ่งในการลดน้ำหนักและลดไขมัน เราจะต้องกินอาหารน้อยกว่าค่า TDEE เช่น วันละ 300-500 แคลอรี่ หรือประมาณ 5-10% เป็นต้น
ทีนี้ ความสับสนมันอยู่ตรงที่ สูตรคำนวณ หรือ Equations ที่จะมาคำนวณดูว่าใน 1 วัน เราควรกินให้ได้ไม่เกินกี่แคลอรี่ จะมีเยอะมากๆ
เช่น
- สูตรของ Katch-McArdle (1)
- Mifflin St. Jeor
- Cunningham Equation
- และสูตรของ Harris-benedict ที่จะใช้กันบ่อยๆ เป็นต้น
เช่น สูตรคำนวณของ Katch-McArcle จะคำนวณค่า BMR โดยเอา 370 + (21.6 x Lean Body Mass (Kg) เป็นต้น
ประเด็นสำคัญ คือ Equations หรือสูตรคำนวณพลังงานแคลอรี่เหล่านี้ จะเป็นการคาดเดา (Estimate) เท่านั้น หรือเราไม่จำเป็นต้องกินให้ตรงเป๊ะขนาดนั้น ถึงจะลดน้ำหนักได้
นั่นเป็นเพราะว่า ในการใช้ชีวิตจริง สภาพร่างกายปัจจุบัน และพฤติกรรมการกินอาหาร ของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน
และเราจะต้องเริ่มทดลองกับตัวเอง และค่อยๆปรับพลังงานแคลอรี่เรื่อยๆ เพื่อให้เหมาะสมและเข้ากับตัวเราที่สุดด้วย
สูตรคำนวณพลังงานแคลอรี่ ที่ควรกินใน 1 วัน เพื่อลดน้ำหนัก ของ Fitterminal
ดังนั้น สูตรคำนวณพลังงานแคลอรี่ง่ายๆ เพื่อดูว่า เราควรกินให้ได้ไม่ต่ำกว่า หรือไม่เกินกี่แคอลรี่ใน 1 วัน ที่ตัวผมใช้กับนักเรียนออนไลน์ คือ น้ำหนักตัวปัจจุบัน (กิโลกรัม) x 2.2 x 10-13
ซึ่งเพื่อนๆจะเห็นว่า ชุดตัวเลขสุดท้าย เราจะเลือกได้ว่า จะคูณด้วย 10 11 12 หรือ 13 นั่นเป็นเพราะว่า ระดับกิจกรรม หรือการเคลื่อนไหวร่างกายของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน
เช่น สำหรับผู้หญิง 50 ปี ที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือน เราอาจจะคูณด้วย 10 ก่อนได้
แต่ถ้าเราเป็นคน Active มีอายุน้อยกว่า มีน้ำหนัก 60 กิโลกรัม และออกกำลังกาย 5-6 วันต่อสัปดาห์ ทั้งเวทเทรนนิ่ง และวิ่งวันละ 5-6 กิโลเมตร
เราอาจจะเอา 60 x 2.2 x 11-12 และพลังงานแคลอรี่ ที่ควรกินให้ได้ต่อวัน คือ 1,452-1,584 แคลอรี่ เป็นต้น
ประเด็นสำคัญ คือ เราควรมีการทดลองและปรับดูด้วยว่า พลังงานแคลอรี่ และปริมาณอาหารที่กินใน 1 วัน ควรอยู่ที่เท่าไหร่ ถึงจะพอดีกับเป้าหมาย และร่างกายเรา
เช่น เราอาจจะลองกินให้ได้ วันละ 1,400 แคลอรี่ เป็นเวลา 1-2 อาทิตย์ก่อน แล้วอีก 2 อาทิตย์ถัดไป เราค่อยเพิ่มเป็นวันละ 1,600 แคลอรี่ เพื่อเปรียบเทียบกัน เป็นต้น
2. กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนและเหมาะสม
ประเด็น คือ เพื่อนๆหลายคนอาจจะตั้งเป้าหมายเกินความเป็นจริง หรือใจร้อนมากเกินไป เช่น อยากจะลดน้ำหนักให้ได้ 10-15 กิโลกรัมใน 1 เดือน เป็นต้น
ซึ่ง 2 ข้อเสียหลักๆ ของการลดน้ำหนักเร็วเกินไป หรือกินอาหารน้อยเกินไป คือ
- มันเป็นวิธีลดน้ำหนักที่ไม่ได้ผลดีแบบยั่งยืน หรือเราจะตบะแตก และโยโย่ในที่สุด
- กล้ามเนื้อจะเริ่มหายไปมากกว่าไขมัน หรือไขมันอาจจะยังอยู่เหมือนเดิม แต่น้ำหนักที่หายไปจะมาจากกล้ามเนื้อ และน้ำในร่างกายนั่นเอง
รู้ไหมครับว่า มวลกล้ามเนื้อจะมีส่วนช่วยปรับฮอร์โมนหิว หรือฮอร์โมน Ghrelin ให้พอดี หรือถ้ามวลกล้ามเนื้อหายไป เราอาจจะหิวบ่อย กินจุบจิบมากขึ้น และกลับมาอ้วนเหมือนเดิมในที่สุด เป็นต้น (2, 3)
นี่คือเหตุผลที่ ระหว่างการลดน้ำหนัก เราจะต้องมีการเล่นเวทเทรนิ่ง เพื่อสร้างกล้ามเนื้อ และกินอาหารให้เพียงพอ เพื่อลดการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อด้วย
เช่น งานวิจัยปี 2014 สรุปมาชัดเจนว่า ใน 1 อาทิตย์ น้ำหนักเราควรลดลงประมาณ 0.5-1% เท่านั้น และยิ่งเรามีหุ่นลีนมากขึ้นเท่าไหร่ น้ำหนักควรจะลดลงช้าตามไปด้วย (4)
นั่นหมายความว่า 2 สิ่งที่เราควรเริ่มทำ คือ
- ถ้าน้ำหนักเราลดลงช้ากว่า เดือนละ 2% ราควรเริ่มดูว่า จะตัดอาหารอะไรออก
- ถ้าใน 1 เดือน น้ำหนักเราลดลงมากกว่า 3-4% เราก็ควรกินอาหารเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้อัตราการลดนำ้หนัก อยู่ใน Range ที่เหมาะสม เป็นต้นครับ
นอกจากนี้ เราอาจจะใช้สูตรคำนวณของ Greg Nuckols ที่จะเอา เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย (Body Fat Percentage) ปัจจุบัน / 20 = อัตราความเร็วในการลดน้ำหนักใน 1 อาทิตย์ ที่ใกล้เคียงเหมือนกัน
เช่น ตอนนี้ผมหนัก 70 กิโลกรัม และมีเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย 15% นั่นหมายความว่า ใน 1 อาทิตย์ น้ำหนักผมควรลดลงไม่เกิน 0.75% หรือ 525 กรัม เป็นต้น
3. เริ่ม track น้ำหนักและอาหารที่กินใน 1 วัน
เพราะอย่างที่เกริ่นไปว่า เราจะต้องเริ่มปรับพลังงานแคลอรี่ให้พอดีกับร่างกาย ระดับกิจกรรม และเป้าหมายเรา
ด้วยการ Track หรือบันทึกอาหาร และน้ำหนักตัวไปพร้อมกัน เพื่อให้เกิดความแม่นยำมากขึ้น
ซึ่งคำแนะนำ มีดังนี้
- ใน 1 อาทิตย์แรก จะเป็นช่วงปรับตัว ซึ่งเราไม่ควรบันทึกอาหารและน้ำหนัก
- ตั้งแต่อาทิตย์ที่ 2-3 เราจะเริ่มชั่งน้ำหนักทุกวัน เพื่อหาค่าเฉลี่ยใน 1 อาทิตย์ และถ่ายรูปหรือบันทึกอาหารใน Application MyFitnessPal
- ถ้าน้ำหนักเราลดลงไปใน Rate ที่เหมาะสม ตามสูตรคำนวณก่อนหน้า เราไม่ควรเปลี่ยนอะไร
- ถ้าน้ำหนักลดลงช้าเกินไป เราอาจจะมาดูว่า เราควรปรับอาหารให้น้อยลงนิดหนึ่ง ประมาณไม่เกิน 5-10% หรือเพิ่มการออกกำลังกายมากกว่า โดยเฉพาะการเล่นคาร์ดิโอต่อเนื่อง เช่น เดินเร็ว 20-30 นาทีต่อวัน
- ถ้าน้ำหนักลดลงเร็วเกินไป เราควรเริ่มกินอาหารมากขึ้น โดยเฉพาะคาร์บเชิงซ้อน และไขมันดี เพื่อลดการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ
- ไม่ควรหมกมุ่นกับการไดเอทมากเกินไป หรือควรมี Diet Break ถ้ารู้สึกว่าเครียดกับการไดเอท และควรฟังร่างกายเราด้วย เป็นต้น
วิธีกินอาหารที่ผิด & ข้อควรระวังระหว่างการลดน้ำหนัก
ต่อมา นี่คือ 2 สิ่งที่เราควรระวัง หรือไม่ควรทำระหว่างการไดเอท เพื่อลดน้ำหนัก
1. ไม่ควรดูตัวเลขของพลังงานแคลอรี่ที่เผาผลาญจากการออกกำลังกาย แล้วมากินอาหารเข้าไปทดแทนตามนั้น หรือมี Cheat Meal ทุกวัน
เพราะไม่ว่าจะเป็นตัวเรา หรือว่า Device ต่างๆ เช่น ลู่วิ่ง และ Apple Watch จะไม่ได้คำนวณแคอลรี่ ได้ตรง 100% และเราอาจจะไม่ได้เบิร์นพลังงานแคลอรี่เยอะอย่างที่เราเข้าใจ (5)
เช่น การเล่นเวทเทรนนิ่งจะช่วยให้เราแข็งแรงและสร้างกล้ามเนื้อได้มากขึ้นจริง แต่ผู้หญิงที่เล่นเวทเทรนนิ่งแบบ Full Body 1 ครั้ง อาจจะเผาผลาญพลังงานได้แค่ 80 แคลอรี่ เป็นต้น (6)
2. ไม่เคลื่อนไหวร่างกายระหว่างวัน หรือใช้ชีวิตเนือยนิ่งจนเป็นนิสัย
ประเด็น คือ การเคลื่อนไหวร่างกายระหว่างวัน นอกเหนือจากการออกกำลังกาย ที่เรียกว่า “Non-exercise Thermogenesis” หรือ NEAT จะเป็น 1 ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเบิร์นไขมันได้มากขึ้นได้ (7)
เช่น รู้ไหมครับว่า คนที่ทำสวน หรือต้องใช้แรงทำงาน จะเบิร์นพลังงานมากกว่า คนที่นั่งทำงานใน Office มากถึงวันละ 1,000 แคลอรี่เลยทีเดียว (8)
ดังนั้น เราควรเริ่มหาจังหวะเคลื่อนไหวร่างกายระหว่างวันมากขึ้นดีกว่า
เช่น ลุกไปดื่มน้ำทุกๆ 1 ชั่วโมง เก็บของที่ต้องใช้ ไว้ชั้น 2 หรือจอดรถไกลทางเข้าห้างมากขึ้น เป็นต้นครับ
คำแนะนำจากโค้ชเค (Take Home Message)
เพื่อนๆจะเห็นแล้วนะครับว่า ถ้าเราลดน้ำหนักช้าเกินไป เราอาจจะรู้สึกท้อและหมดกำลังใจได้
แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าเราลดน้ำหนักเร็วๆ หรือกินอาหารน้อยเกินไป ร่างกายอาจจะขาดสารอาหาร และกล้ามเนื้อหาย จนเสี่ยงที่จะตบะแตก และโยโย่ในที่สุด
ดังนั้น เราควรเริ่มดูดีกว่าว่า สำหรับสภาพความฟิตของร่างกายเรา ระดับกิจกรรมที่เราทำใน 1 วัน และเป้าหมายของเราตอนนี้ เหมาะที่จะกินอาหารวันละไม่เกินกี่แคลอรี่
ท้ายสุด ผมอยากจะย้ำว่า การลดน้ำหนักเราควรใจเย็นๆ และค่อยๆปรับให้เข้ากับตัวเราให้ได้มากที่สุด
และถ้ามีเผลอหลุดออกนอกกรอบไปบ้าง เราควรให้อภัยตัวเอง และกลับมาเริ่มใหม่อีกครั้งดีกว่าครับ
ตอนนี้เพื่อนๆคิดว่ากินอาหารวันละกี่แคลอรี่ และได้ผลลัพธ์ยังไงบ้างครับ?
ถ้ายังมีคำถาม หรือคำแนะนำดีๆ คอมเมนต์หรือว่ามาแชร์ประสบการณ์ได้เลยที่ด้านล่าง
และถ้าตอนนี้เพื่อนๆไม่อยากเสียเวลาไปกับการลดไขมัน และการออกกำลังกายที่ผิดวิธี และอยากจะมีหุ่นในฝันให้ตัวเองภูมิใจ ภายใน 3-6 เดือนนี้
แอดไลน์มาตาม Link ด้านล่าง มาสอบถาม และพูดคุยกันก่อน และถ้าเคมีเราตรงกัน ผมก็มีคอร์สออนไลน์ที่ออกแบบมาสำหรับเพื่อนๆโดยเฉพาะ
| Follow Us | ช่องทางการอัพเดทข้อมูลข่าวสาร | YouTube | Facebook | Instagram | LINE