แอปเปิ้ลไซเดอร์ ดื่มแล้วได้อะไร?
แอปเปิ้ลไซเดอร์ หรือ น้ำส้มสายชูที่ทำจากแอปเปิ้ล มีความเป็นกรดสูง กลิ่นเหมือนของหมัก (คล้ายๆของเน่า) สีออกเหลืองๆ และรสชาติเปรี้ยวจี๊ดยันเพดาน (ถือว่าห่วยสุดๆ) วันนี้ผมโค้ชเคะมาพูดถึงประโยชน์ของแอปเปิ้ลไซเดอร์ว่ามีอะไรบ้าง ช่วยลดน้ำหนักและเผาผลาญไขมันได้จริงหรือเปล่า และท้ายสุด คนอื่นเขามีวิธีดื่มกันอย่างไรบ้าง…ตามมาเลยครับ
แอปเปิ้ลไซเดอร์ คืออะไร?
Apple Cider Vinegar คือ น้ำส้มสายชูที่เกิดจากการหมักน้ำแอปเปิ้ลกับยีสจนกลายเป็นแอลกอฮอล์ (สเต็ปแรก) พอได้แอลกอฮอล์มาแล้วเขาก็จะเอาแบคทีเรีย (ดี) ใส่เข้าไป แบคทีเรียจะเข้าไปทำปฏิกิริยากับแอลกอฮอล์จนกลายเป็น กรดอะซิติก เอซิด (Acetic Acid) (เสร็จสิ้นสเต็ป 2) นี่คือเหตุผลที่ทำไมถึงมีรสเปรี้ยวเหลือเกิน ที่ตลกกว่านั้นคือ Vinegar เป็นภาษาฝรั่งเศสซึ่งแปลว่า “ไวน์เปรี้ยว” ด้วย
แอปเปิ้ลไซเดอร์ เป็นที่นิยมในหมู่คนรักสุขภาพ เพราะเป็นน้ำส้มสายชูที่เป็นธรรมชาติ และมีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือมากมายรับรองว่า มีประโยชน์ต่อสุขภาพจริงๆ เช่น ช่วยลดน้ำหนัก ลดคอเลสเตอรอลเลว ลดน้ำตาลในเลือด และลดอาการต่างๆที่เกิดจากโรคเบาหวาน เป็นต้น
ตีกลองนำร่องมานาน เรามาดูกันดีกว่าครับว่า จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเรา (อดทน) ดื่มแอปเปิ้ลไซเดอร์ทุกวัน
ดีเพราะมีกรด
กรดอะเซติค เอซิด (Acetic Acid) ที่พบในแอปเปิ้ลไซเดอร์ คือกรดไขมันขนาดสั้น (Short-Chain Fatty Acid) เจ้ากรดตัวนี้แหละครับที่มีประโยชน์หลายอย่าง เรามาดูกันดีกว่าครับว่าประโยชน์ที่เด่นๆมีอะไรบ้าง
1. ช่วยลดน้ำตาลในเลือด: ในการทดลองกับสัตว์ (หนู) Acetic Acid ช่วยให้กล้ามเนื้อและตับดูดซึมน้ำตาลจากกระแสเลือดได้มากขึ้น ลองนึกตามนะครับ น้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายเราได้รับจากอาหารถูกนำมาใช้เป็นพลังงานเลย แทนที่จะไปเก็บตุนไว้ในเซลล์ไขมัน ระหว่างวิ่งออกกำลังกายเราก็จะมีแรงมากขึ้นและเผาผลาญไขมันระหว่างวิ่งได้มากขึ้นกว่าปกติด้วย
บทความแนะนำ: วิ่งอย่างไรให้เบิร์นไขมันได้เยอะสุด?
2. ลดระดับฮอร์โมนอินซูลิน: ในงานวิจัยเดียวกัน นักวิจัยยังพบว่า Acetic Acid ทำหน้าที่ได้เหมือนตัวปรับอัตราส่วนของ ฮอร์โมนกลูคากอน (Glucagon) และอินซูลิน ซึ่งฮอร์โมนกลูคากอนจะเป็นตัวช่วยให้ร่างกายนำพลังงานที่สะสมไว้มาใช้เป็นพลังงานครับ
ฮอร์โมนอินซูลินจะถูกหลั่งออกมาเพื่อกำจัด/ลำเลียงน้ำตาลกลูโคสไปยังเซลล์ต่างๆ ส่วนพลังงานที่เหลือก็จะถูกเก็บไว้ในรูปแบบไขมัน ส่วนฮอร์โมนกลูคากอนนั้น จะทำงานตรงกันข้าม นั่นคือมันมีหน้าที่ช่วยเพิ่มน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือด เช่น ถ้าผมออกกำลังกายตอนท้องว่าง (ไม่มีอาหาร) ฮอร์โมนตัวนี้ก็จะไปเอา ไกลโคเจน (Glycogen) ในตับ มาเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคสเพื่อเป็นพลังงานนั่นเองครับ
3. เพิ่มเอนไซม์ AMPK: เอนไซม์ AMPK (Adenosine Monophosephate-Activated Protein Kinase) ขอให้รูแค่ว่า ถ้าเรามีเอนไซม์ตัวนี้มากขึ้น ร่างกายเราก็จะเผาผลาญไขมันมากขึ้น และแถมตับก็จะกักเก็บไขมันและน้ำตาลน้อยลงด้วย
4. เผาผลาญไขมันส่วนเกิน: นักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองให้หนูที่เป็นโรคเบาหวานดื่มน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์ หลังจบการทดลองพบว่า หนูเหล่านี้มียีน (Genes) ที่ช่วยเบิร์นไขมันเพิ่มมากขึ้น
5. อิ่มท้องนานขึ้น: ถ้าใครอยากลดน้ำหนักให้ได้ผล (ลงเร็ว) และเบิร์นไขมันแบบธรรมชาติ (ที่ไม่มีผลข้างเคียง) แอปเปิ้ลไซเดอร์คือคำตอบครับ เพราะเจ้าน้ำส้มสายชูนี้จะช่วยให้เราอิ่มท้องนานกว่าปกติ เราจึงควบคุมความหิวและปริมาณพลังงานแคลอรี่ต่อวันได้ดีขึ้น
งานวิจัยพบว่ากลุ่มผู้เข้าทดลองที่ดื่มแอปเปิ้ลไซเดอร์กับมื้ออาหารที่มีคาร์โบไฮเดรทสูง (ขนมปัง) จะอิ่มท้องนานกว่าและกินน้อยกว่าอีกกลุ่มโดยเฉลี่ยประมาณ 200-275 แคลอรี่ ต่อวัน
ที่จริงผมว่างานวิจัยชิ้นนี้เด็ดสุด นักวิจัยเขาเอาคนอ้วนมาเข้าคอร์สลดน้ำหนักด้วยการดื่มแอปเปิ้ลไซเดอร์ทุกวันเป็นเวลา 3 เดือน หลังจบการทดลองพบว่ากลุ่มคนเหล่านี้ลดทั้งน้ำหนักและไขมัน
นี่คือปริมาณที่นักวิทยาศาสตร์แนะนำและผลลัพท์จากการทดลอง
- ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ (15 มิลลิลิตร): ลดไป 1.2 กิโลกรัม
- ปริมาณ 2 ช้อนโต๊ะ (30 มิลลิตร): ลดไป 1.7 กิโลกรัม
ความคิดเห็นจากผมคือ การลดน้ำหนักและการลดไขมันส่วนเกิน ต้องเกิดจากการออกกำลังกายและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกิน (แบบค่อยเป็นค่อยไป) เท่านั้น
ที่แอปเปิ้ลไซเดอร์ช่วยลดน้ำหนักและเบิร์นไขมันได้นั้น เหตุผลเพราะมันจะช่วยให้เราอิ่มท้องนานขึ้น พอดื่มพร้อมอาหารแล้วอิ่มนาน จนไม่อยากกินอะไรอีก
ยังไงก็แล้วแต่ ถ้าเราไม่ออกกำลังกายและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินให้ดีขึ้น จะดื่มให้หมดทั้งโรงงาานมันก็ไม่ช่วยอะไรครับ ฟันธง!
ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและลดคอเลสเตอรอล (เลว)
ผมไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมคนไทยไม่ค่อยกลัวโรคหัวใจกันเลย ทั้งๆที่องค์การอนามัยโลกป่าวประกาศไปทั่วโลกว่า โรคหัวใจเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่ง
นักกำหนดอาหารเชื่อว่าแอปเปิ้ลไซเดอร์มี่ส่วนช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ เพราะมีส่วนช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลเลว (Low Density Lipoprotein) ยังไงก็แล้วแต่ ยังไม่มีงาานวิจัยที่ได้ทำการศึกษากับคนถึงผลลัพท์นี้ครับ
มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่จัดทำขึ้นโดยมหาวิทยาลัย Harvard ซึ่งติดตามพฤติกรรมการกินสลัดกับแอปเปิ้ลไซเดอร์ของผู้หญิงที่เข้าทดลอง ผลปรากฏว่าความเสี่ยงโรคหัวใจลดลงจริง
ยังไงก็แล้วแต่ครับ ในกลุ่มคนออกกำลังกายส่วนใหญ่เชื่อว่า แอปเปิ้ลไซเดอร์มีส่วนช่วยลดน้ำตาลในเลือด ช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินดีขึ้น และอาการของโรคเบาหวานลดลงด้วย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจครับ
แอปเปิ้ลไซเดอร์ คนอื่นเขาดื่มกันอย่างไร?
ผมเคยเห็นในบทความเมืองนอกหลายชิ้น ที่แนะนำให้นำแอปเปิ้ลไซเดอร์กับน้ำมันมะกอกมาเป็นซอสราดสลัด แต่วิธีที่ดีที่สุดคือผสมน้ำเปล่าแล้วกลืนลงคอครับ
ถ้าใครที่ติดรสหวานผมแนะนำให้ซื้อสารให้ความหวานแทนน้ำตาล สตีเวีย (Stevia) มาติดบ้านไว้เลยครับ หรือถ้าใครชอบน้ำผึ้ง ผมแนะนำให้กะปริมาณให้ดี เพราะน้ำผึ้งก็คือน้ำตาลที่มีแคลอรี่สูงนั่นเองครับ
ปริมาณที่แนะนำต่อวันคือ 1-2 ช้อนโต๊ะ หรือ 15-30 มิลลิตร ทีนี้เราไม่จำเป็นต้องดื่มทีเดียวหมด อาจจะแบ่งเป็น 3 ครั้ง และดื่มก่อนมื้ออาหารก็ได้ครับ
และใครที่ไม่เคยได้ลิ้มรสมาก่อน เริ่มจากจำนวนน้อยๆก่อนและคอยสังเกตด้วยว่าร่างกายเราตอบสนองอย่างไรบ้าง อีกอย่าง ห้ามดื่มเกินวันละ 2 ช้อนโต๊ะเด็ดขาด เพราะอาจจะเกิดผลข้างเคียงต่อสุขภาพได้
ทิ้งท้าย…ก่อนไป
แอปเปิ้ลไซเดอร์ เวนิการ์ (Apple Cider Venigar) คือ น้ำส้มสายชูชนิดหนึ่งที่ทำมาจากน้ำแอปเปิ้ล งานวิจัยหลายชิ้นรายงานว่าแอปเปิ้ลไซเดอร์มีส่วนช่วยในเรื่องของการลดน้ำหนักและเผาผลาญไขมันส่วนเกิน
ปริมาณที่แนะนำต่อวันอยู่ที่ 1-2 ช้อนโต๊ะ ใครที่ไม่เคยดื่มมาก่อน ควรเริ่มจากปริมาณน้อยๆก่อน น้ำส้มสายชูชนิดอื่นก็อาจจะเอามาแทนที่แอปเปิ้ลไซเดอร์ได้ แต่ปริมาณ Acetic Acid ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญจะน้อยกว่าครับ
ถ้าเห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ อย่าลืมกดปุ่ม Share ด้านล่างด้วยนะครับ ขอบคุณครับ