ลดน้ำหนักไม่สำเร็จสักที เพราะเป็นแบบนี้หรือเปล่า?
สวัสดีครับ โค้ชเค Fitterminal.com
เพื่อนๆคนไหนจัดอยู่ในกลุ่มนี้บ้างครับ ที่ลดน้ำหนักไม่ได้สักที ความอ้วนดูเป็นปมด้อยอย่างหนึ่งที่ติดตัวเรามาตั้งแต่วัยรุ่น
และพอเห็นปฏิกิริยาของคนรอบข้าง ที่ชอบแกล้ง ชอบพูดล้อเลียน พูดดูถูก และเห็นเราเป็นตัวตลก มันยิ่งทำให้เราเกิดความรู้สึกแย่ลงไปอีก
ประเด็น คือ เราอาจจะรู้สึกท้อและสงสัยว่า ทำไมเราพยายามทำทุกอย่างแล้ว ศึกษาข้อมาหลายที่ วิ่งออกกำลังกาย เลิกกินขนมหวาน อดอาหาร และออกกำลังกายหักโหมต่อเนื่องหลายเดือน แต่รูปร่างก็ยังเท่าเดิม และบางทียังกลับมาอ้วนขึ้นกว่าเดิมอีก
วันนี้ ผมโค้ชเคเลยจะมาแชร์เคล็ดลับการลดน้ำหนัก & 5 อุปสรรค์ในการลดความอ้วน สำหรับผู้หญิงที่ลดน้ำหนักไม่ได้สักที จะมีอะไรบ้าง ตามมาเลยครับ
อยากลดความอ้วน แต่ทำไม่ได้สักที
เพื่อนๆครับ บางทีการลดน้ำหนัก มันอาจจะดูเหมือนว่า เป็นไม่ได้เลยสำหรับเรา และยิ่งสิ่งแวดล้อมและคนรอบข้าง ไม่ได้สนับสนุน คอยมาพูดจิกกัดอีก มันก็ยิ่งอาจจะทำให้เราไม่มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป
ต่อมา ถึงแม้เราจะดูแล้วว่ากินวันละกี่แคลอรี่ ไม่กินคาร์บเยอะเกินไป เน้นกินโปรตีนให้มากขึ้น ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และทำทุกวิถีทางที่เขาบอกว่าดี ช่วยลดความอ้วนได้ แต่รูปร่างเรากลับเหมือนเดิม และเสี่ยงที่จะโยโย่อีกต่างหาก
จริงๆแล้ว คนส่วนใหญ่ที่ต้องการลดความอ้วน จะเจอปัญหานี้แทบทุกคน และพอรู้สึกหมดหวัง เราก็อาจจะเริ่มมองหาตัวช่วย โดยเฉพาะยาลดน้ำหนัก อาหารเสริมทดแทนมื้ออาหาร (Meal Replacement) หรือว่าอาหารเสริมที่มียาถ่าย
รู้ไหมครับว่า ผลการสำรวจคนมากกว่า 16,000 คนพบว่า 1 ใน 3 จะกินยาลดน้ำหนักทั้งที่ไม่ได้อ้วน และจะโยโย่ทีหลัง หรืออ้วนมากกว่าเดิมในที่สุด (1)
จากการศึกษายังพบว่า มูลค่าของธุรกิจอาหารเสริมความอ้วน มีมูลค่ามากกว่า 5 พันล้านบาท และมีให้เราเลือกเยอะมาก (2)
ซึ่งอาจจะช่วยให้เราลดน้ำหนักได้ดีในแช่วงแรก แต่พอกินไปแล้วสักพัก มันอาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้ โดยเฉพาะระบบย่อยอาหารอาจจะพังจนท้องผูก และตับจะทำงานผิดปรกติ จนไม่สามารถดูดซึมสารอาหารเข้าสู่ร่างกายได้ เป็นต้น (3)
5 เหตุผล ทำไมผู้หญิง ถึงลดน้ำหนักยากกว่าผู้ชาย?
รู้ไหมครับว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่ พร้อมที่จะใช้เงิน ใช้เวลา และใช้แรงพยายามออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก แต่ส่วนใหญ่ก็จะเจอทางตันจนรู้สึกท้อ
ซึ่ง 5 ปัญหาหลักๆ มีดังนี้ครับ
1. ปัญหาสุขภาพ (Health Concerns)
รู้ไหมครับว่า 1 ใน 9 ของผู้หญิง จะมีภาวะที่เรียกว่า “Lipedema” หรือ ภาวะที่มีเนื้อเยื่อไขมันเยอะกว่าปรกติ โดยเฉพาะไขมันที่ขาและสะโพก และยิ่งเราไปดูดไขมันออก (Liposuction) มันยิ่งอาจจะทำให้อาการแย่ลง หรือมีไขมันมากกว่าเดิม (4)
ปัญหาต่อมา คือ ฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ (Hypothyroidism) ที่มีผลทำให้ระบบ Metabolism ทำงานช้าลง หรือลดความอ้วนยาก และมักจะเจอในผู้หญิงด้วย
ต่อมา ผู้หญิงกว่า 21% จะมีภาวะ Polycystic Ovary Syndrome (PCOS) ที่จะทำให้ร่างกายผู้หญิงดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน หรือร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลกลูโคสที่ได้จากอาหารได้ดี จนทำให้เกิดการสะสมไขมันที่หน้าท้องมากกว่าปรกติ (5)
2. ลดน้ำหนักผิดวิธี (Yoyo-dieting)
ในการลดน้ำหนัก สิ่งที่แย่ที่สุด คือ การที่เราผอมแล้ว แล้วกลับมาอ้วนอีก และวนไปเป็นลูปแบบนี้หลายรอบ ซึ่งจะเรียกว่า Yo-yo Dieting
ประเด็น คือ พอร่างกายเราเคยเจ็บมาก่อน โดยเฉพาะถ้าเราอดอาหาร กินอาหารน้อยเกินไป แล้วโหมออกกำลังกายหนักๆ ร่างกายก็จะหวงไขมัน และน้ำหนักบนตราชั่งอาจจะค่อยๆเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆด้วย
นักวิจัยยังพบว่า เหตุผลที่ร่างกายเราหวงไขมัน เผาผลาญไขมันมาใช้เป็นพลังงานน้อยลง และพลังงานแคลอรี่ส่วนใหญ่จะถูกเก็บไว้เป็นไขมันมากที่สุด เพราะว่าร่างกายคิดว่าต้องเก็บไขมันไว้เป็นพลังงานสำรองเยอะๆ เผื่อต้องอดอาหารอีกในวันหน้า (6)
ต่อมา รู้ไหมครับว่า Gut Bacteria หรือแบคทีเรียดีที่อยู่ในระบบทางเดินอาหาร จะมีผลโดยตรงต่อการลดน้ำหนักของเรา
ซึ่งการไดเอทผิดวิธี การอดอาหาร และการกินอาหารเสริม จะมีผลโดยตรงต่อปริมาณแบคทีเรียดีที่น้อยลงเรื่อยๆ จนทำให้เราโยโย่ และท้องผูกเรื้อรัง เป็นต้น (7)
3. อายุที่มากขึ้น (Age)
อายุที่มากขึ้น จะมาพร้อมกับความรับผิดชอบ และน้ำหนักที่มากขึ้นเรื่อยๆด้วย หรือผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้นประมาณ 3-7 กิโลกรัม ถึงแม้ว่าจะไดเอทแบบ ‘Healthy’ ก็ตาม
ซึ่ง 2 สาเหตุหลักจะมาจาก
- ปริมาณมวลกล้ามเนื้อที่น้อยลงเรื่อยๆ และ
- กิจกรรมเคลื่อนไหวร่ากายมีน้อยลง
ต่อมา การลดน้ำหนักอาจจะยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อผู้หญิงเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน หรือ ‘Menopause’ เพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนจะเริ่มลดลง จนทำให้การลดน้ำหนักยากขึ้น นอนไม่ค่อยหลับ และเราอาจจะเริ่มกินยากหรือเบื่ออาหารด้วย (8)
4. โฟกัสไปที่น้ำหนักเพียงอย่างเดียว (focus only on Scale)
แน่นอนว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่จะซีเรียสกับน้ำหนักบนตราชั่ง และความผอม ซึ่งเราอาจจะลืมไปว่าสุขภาพที่แข็งแรงก็สำคัญเหมือนกัน
โดยเฉพาะรอบเดือนที่มาปรกติ สุขภาพผม ผิว และเล็บที่แข็งแรง การนอนหลับ และค่าเลือดต่างๆที่ดี และการขับถ่ายที่สม่ำเสมอ เป็นต้น
ดังนั้น นี่คือ 3 สิ่งที่เราควรเริ่มทำ เพื่อให้น้ำหนักค่อยๆลดลงโดยอัตโนมัติ
1. เริ่มโฟกัสที่ความฟิต & สุขภาพเป็นหลัก เพราะงานวิจัยยืนยันมาชัดเจนเลยว่า สุขภาพที่ดี และความฟิตหรือความแข็งแรง จะทำให้เราภูมิใจในตัวเองมากกว่า “ความผอม”
แถมการไม่เจ็บไม่ป่วยง่าย การได้ออกกำลังกายเป็นประจำ และจะทำกิจกรรมอะไรก็คล่องแคล่วสบายตัว จะทำให้เรามีความสุขทั้งกายและใจอีกด้วยครับ (9)
2. เริ่มมีความสัมพันธ์ที่ดีกับอาหารมากขึ้น นั่นคือ เราไม่ควรคิดว่าต้องไดเอท ต้องอดอาหาร หรือเลือกกินแค่อาหารที่คลีน 100% เท่านั้น
แต่เริ่มสังเกตดูว่าเรากินอาหารที่เป็นธรรมชาติเป็นหลักเพียงพอหรือยัง สังเกตว่าเราหิวจริงๆไหม และอิ่มแล้วหรือยัง เป็นต้น (10)
3. เริ่มมีการวางแผนในระยะยาว อย่างน้อย 3-6 เดือน เพราะการที่เราคลั่งผอม พยายามไดเอท และโหมออกกำลังกายให้น้ำหนักลดลงเร็วๆ จะยิ่งทำให้เราโยโย่หรือกลับมาอ้วนมากกว่าเดิมในที่สุด
ดังนั้น เราควรเริ่มค่อยๆลดความอ้วนแบบค่อยเป็นค่อยไป เริ่มทำอาารกินเองบ่อยขึ้น และดูว่าน้ำหนักลดลงประมาณไม่เกิน 4-5 กิโลกรัมต่อเดือน เป็นต้นครับ
5. ไม่ยอมรับ & ไม่เข้าใจร่างกายตัวเอง (Self-acceptance)
จริงอยู่ว่า เราสามารถปรับการไดเอทและออกกำลังกาย เพื่อให้หุ่นเราดีขึ้นได้จริง แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะสามารถทำให้เราหุ่นเหมือนคนอื่น ถ้ากรรมพันธุ์เราไม่เอื้อ
งานวิจัยก็ยืนยันมาด้วยว่า กรรมพันธุ์หรือยีนส์ คือ ตัวกำหนดว่า ร่างกายเราจะสะสมไขมันในส่วนไหนของร่างกายมากที่สุด และน้ำหนักที่เหมาะสมคือเท่าไหร่ด้วย (9)
เช่น คนผอมๆที่ต้องการเพิ่มน้ำหนักหรือกล้ามเนื้อ จะทำได้ยากกว่าคนที่อ้วน และคนที่อ้วนง่าย ก็จะลดน้ำหนักได้ยากกว่าคนผอม เป็นต้น
ดังนั้น เราควรเริ่มยอมรับรูปร่างและตัวตนของเรา และปรับทุกอย่างให้เข้ากับเราดีกว่า เพราะถ้าฝืนทำ มันอาจจะไม่ส่งผลดีในระยะยาว
นักวิจัยพบว่า การลดน้ำหนักได้แล้วกลับมาอ้วนอีก อาจจะทำให้เราหงุดหงิด ท้อ และมีความสัมพันธ์ที่แย่กับอาหาร จน Binge Eating ได้ (10)
ดังนั้น เราควรเริ่มปรับ Mindset ให้ดีขึ้น ด้วย 3 วิธีนี้
- ไม่ดูแค่น้ำหนักบนตราชั่งเพียงอย่างเดียว เริ่มวัดสัดส่วนว่าเล็กลงไหม ใส่เสื้อผ้าตัวเดิมได้หรือเปล่า และดูว่าผิวไม่เหี่ยว และผมไม่ล่วงแล้ว เป็นต้น
- ไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะร่างกายเรามีจุดเด่นหรือความแตกต่างที่ไม่เหมือนใคร โฟกัสที่ตัวเราดีกว่าครับ
- ออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรง และทำให้เรารู้สึกดี มากกว่าดูว่าเผาผลาญไปแล้วกี่แคลอรี่
คำแนะนำจากโค้ชเค (Take Home Message)
เพื่อนๆครับ ตอนนี้เราอยู่ในสังคมที่มีแต่คนอยากผอมเร็วๆ ด้วยการไดเอทผิดวิธี และเน้นกินอาหารเสริม
ซึ่งมันจะเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หรือเราจะกลับมาโย่โย่ได้ในที่สุด และทำให้เราเครียดกับการลดความอ้วนมากกว่าเดิม
ดังนั้น เราควรเริ่มมายอมรับและใจดีกับร่างกายเรา เริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต และการกินอาหารให้ดีขึ้น และเริ่มใส่ใจสุขภาพที่แข็งแรง และรูปร่างที่ดีขึ้น มากกว่าตัวเลขบนตราชั่งดีกว่าครับ
ตอนนี้เพื่อนๆ ยังสงสัยอะไรเกี่ยวกับการลดน้ำหนักบ้างครับ?
ถ้ายังมีคำถาม หรือคำแนะนำดีๆ คอมเมนต์หรือว่ามาแชร์ประสบการณ์ได้เลยที่ด้านล่าง
และถ้าตอนนี้เพื่อนๆไม่อยากเสียเวลาไปกับการลดไขมัน และการออกกำลังกายที่ผิดวิธี และอยากจะมีหุ่นในฝันให้ตัวเองภูมิใจ ภายใน 3-6 เดือนนี้
แอดไลน์มาตาม Link ด้านล่าง มาสอบถาม และพูดคุยกันก่อน และถ้าเคมีเราตรงกัน ผมก็มีคอร์สออนไลน์ที่ออกแบบมาสำหรับเพื่อนๆโดยเฉพาะ
| Follow Us | ช่องทางการอัพเดทข้อมูลข่าวสาร | YouTube | Facebook | Instagram | LINE