โรคเสพติดอาหาร ภัยร้ายใกล้ตัว
โรคเสพติดอาหาร (Food Addiction) มันอาจจะไม่รุนแรงเท่ากับการเสพติดยาบ้า แต่ผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว มีแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน โรคมะเร็ง และโรคหัวใจ
ในบทความนี้ ผมโค้ชเค อยากมาแชร์ความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับ โรคเสพติดอาหาร ให้เพื่อนๆได้อ่านกัน ตามมาเลยครับ
โรคเสพติดอาหาร (Food Addiction) เป็นอย่างไร?
เมื่อวานผมไปนั่งรอเพื่อนที่ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด พอซักพักก็มีครอบครัวหนึ่งมานั่งที่โต๊ะข้างๆ มีพ่อ แม่ และลูก
ผมเหลือบไปเห็นเขาสั่ง เซ็ตเมนูแฮมเบอร์เกอร์มา 3 เซ็ต และก็มองดูหุ่นแต่ละคน โห…ขนาดน่าจะ 3 คนโอบได้
พวกเขาก็กินกันอย่างอร่อยครับ แม่ป้อนเฟรนช์ฟรายให้ลูก พ่อดูดน้ำอัดลมหมดแล้ว ก็ไปแย่งของแม่ต่อ ส่วนแม่ในปากเคี้ยวยังไม่หมด มือก็หยิบชิ้นต่อไปเพื่อเตรียมเข้าปากรอแล้ว
ผมมองและก็นึกในใจว่าเขาจะรู้ไหมว่าเขากำลังทำลายสุขภาพเขาอยู่ และผมก็มองลึกไปอีกว่า เขาต้องรู้ว่าอาหารพวกนี้ไม่ดีแน่ๆ แต่ไม่รู้จะหยุดกินยังไง เพราะได้เสพติดอาหารฟาสต์ฟู้ดไปแล้ว
นี่ก็คือหนึ่งตัวอย่างของอาการเสพติดอาหารครับ บางทีเรากินอาหารไม่ใช่เพราะว่าหิว แต่เป็นเพราะว่าอยากกินและติดรสชาติ
คนที่เสพติดอาหาร เขารู้สึกอย่างไร?
กลับมาถึงบ้านผมมานั่งดูรายการหนึ่งบน Youtube ที่มี Dr. Phil เป็นแขกรับเชิญ Dr. Phil คือจิตแพทย์ที่มีชื่อเสียง และถูกเชิญมาในรายการเพื่อให้ความรู้เรื่องพฤติกรรมการกินอาหาร
Dr. Phil ได้เลือกผู้ฟังคนหนึ่งที่มีน้ำหนักเกิน และถามผู้หญิงคนนั้นว่า “รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่คุณกำลังกินอยู่ทุกวันทำให้อ้วน ทำไมคุณถึงยังกินมันอีก?”
ผู้หญิงคนนั้นตอบว่า “เพราะว่าฉันมีของกินข้างๆตลอดเวลา ไม่ว่าจะหิว ไม่หิว เครียด มีความสุข ฉันจะกิน และใช้อาหารเป็นเพื่อนแก้เหงา”
หมอฟิลถามต่อว่า “ทำอย่างนี้แล้วคุณรู้สึกยังไง?” คำตอบคือ “ฉันเศร้า ฉันเครียด ฉันรู้สึกว่าฉันไม่มีวันจะเอาชนะใจตัวเองได้” แล้วเขาก็เริ่มร้องไห้ และพูดต่อไปว่า “ในหัวฉันมีแต่ความคิดที่ว่าจะกินอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ กับใคร ฉันเกลียดตัวเองมากที่สุด”
แล้วหมอฟิลก็หันไปถามทุกคนในห้องส่งว่า “มีใครเป็นเหมือนกันไหมครับ?” และประมาณ 2 ใน 3 ยกมือขึ้น ผู้ชมในห้องส่งก็ปรบมือให้กำลังใจ
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินต้องใช้เวลาและความพยายามสูง สิ่งแรกที่เราต้องมีคือ เหตุผลว่าทำไมเราควรจะเปลี่ยนการกินอาหาร เช่น เพื่อนผมต้องการเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน เพราะนอนไม่ค่อยหลับ และรู้สึกเคลื่อนไหวไม่คล่องตัว เป็นต้น
เมื่อเรามีเหตุผลที่แข็งแรงพอ ต่อมาเราต้องตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน เช่น เพื่อนผมคนนี้เขาตั้งเป้าหมายว่า “ในเดือนแรก จะกินบุฟเฟต์น้อยลงเหลือแค่ อาทิตย์ละ 1 ครั้ง และควบคุมแคลอรี่ไม่ให้เกิน 1,500 แคลอรี่ต่อวัน”
สิ่งสำคัญคือ เหตุผลที่ทำให้เราอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง ต้องมากพอที่จะทำให้เราสู้กับความอยากอาหาร และเป้าหมายจะช่วยให้เรามองเห็นภาพที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ชัดเจนขึ้น เราจะมีทิศทางและมีการวางแผนที่รัดกุมขึ้น เพื่อที่จะไปถึงเป้าหมาย
บทความแนะนำ: เป้าหมาย (Goal) ช่วยให้ผอมได้อย่างไร?
ประสบการณ์ตรง
ผมเป็นคนชอบลองอะไรใหม่ๆ ชอบท้าทายตัวเองตลอดเวลา และผมมั่นใจมากว่าผมไม่ใช่คนเสพติดอาหาร และสามารถห้ามใจตัวเองได้แน่นอน
ผมก็เลยซื้อข้าวเหนียวมะม่วงของโปรดมา พอถึงบ้านก็แกะกล่อง ใส่จาน ราดกะทิและถั่วตาม แล้วตั้งไว้ที่โต๊ะกินข้าว ใกล้ๆโต๊ะทำงาน
ผมก็มานั่งอ่านหนังสือต่อ เท่าที่ผมสังเกต แม้ว่าตาผมจะจดจ่ออยู่ที่หนังสือ แต่ผมรู้เลยว่าผมไม่มีสมาธิในการอ่านเลย มีบางครั้งที่มือเหมือนจะเอื้อมไปหยิบจานข้าวเหนียวมะม่วงซะด้วยซ้ำ
ผมเลยเดินออกไปข้างนอก พักเบรกเล่นกีตาร์ เล่นได้ไม่ถึงเพลงเพราะว่าผมคิดถึงแต่ข้าวเหนียวมะม่วงจานนั้น
ตอนเย็นผมก็ขับรถออกจ่ายตลาดเหมือนเดิม และคิดว่าความอยากจะกินข้าวเหนียวมะม่วงคงน้อยลง พอไปถึงตลาด ก็เจอแม่ค้าขายข้าวเหนียวมะม่วงอีก คงเดาออกใช่ไหมครับว่าเหตุการณ์ต่อไปคืออะไร? ผมซื้อข้าวเหนียวมะม่วงตอนนั้น และเดินกินเดี๋ยวนั้นเลยครับ
หลังจากกินหมดไป ผมถึงได้เข้าใจว่า ถึงผมจะออกกำลังกายประจำ นับแคลอรี่ตลอด แต่การห้ามใจไม่ให้กินของที่ชอบ ไม่ใช่เรื่องง่าย
ผมว่ามันคงเหมือนคนที่ติดการพนัน รู้ทั้งรู้ว่าเล่นไปก็เสียเงิน แต่ก็หยุดไม่ได้
ทำไมเราถึงเสพติดอาหาร?
ผู้ผลิตอาหารขายตามท้องตลาดจะทำทุกวิถีทางให้เราซื้อสินค้าเขาให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรสชาติ สีสัน การตลาด คิวและเวลาลงโฆษณา
จุดประสงค์หลักๆคือเพื่อหวังแค่ผลกำไร เรื่องสุขภาพเป็นหน้าที่บริษัทประกัน เจ้าของร้านเค้กหน้าปากซอย อาจจะไม่ได้รู้ลึกซึ้งถึงการใช้หลักจิตวิทยาเพื่อขายขนม แต่เขารู้ว่า ถ้าขนมมีน้ำตาล ไขมัน เกลือ ยังไงก็อร่อยและเดี๋ยวเราก็ซื้อกิน
อาหารที่มีปริมาณน้ำตาลและแป้งสูงเป็นเหมือนสิ่งเสพติด และยิ่งเพิ่มไขมันและเกลือเข้าไปด้วย เรายิ่งเสพติดอาหารกันมอมแมมเลยครับ
สังเกตุง่ายๆ ขนมเค้ก คุ๊กกี้ ไอศครีม หรืออาหารฟาสต์ฟู้ดทั่วไป รสชาติจะถูกปากคนไทยมาก กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม และที่สำคัญกลืนลงไปแต่ละคำแทบจะไม่ต้องเคี้ยวเลย
การที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เห็นของน่ากิน ผมว่ามันยากมากเลย ว่าไหมครับ? นั่งอยู่บ้านดูทีวีก็เจอในโฆษณา ออกมาร้านสะดวกซื้อก็เจอเป็นแผงเลย
พูดง่ายๆคือหันไปทางไหนก็เจอ ผู้ผลิตและผู้ขายทำให้การซื้ออาหารพวกนี้สะดวกที่สุด ลองคิดตามนะครับ เดินไปซื้อไส้กรอกที่เซเวน จ่ายตังค์แล้วกินได้เลย ไม่แพงแถมอร่อยด้วย
ในทางกลับกัน ถ้าเราต้องไปจ่ายตลาด แล้วมานั่งเตรียมอาหารอีก คุณคิดว่าคนส่วนใหญ่เลือกแบบไหนมากกว่า? การใช้ชีวิตทุกวันนี้อยากกินอะไรแค่ขยับปลายนิ้ว ของที่อยากกินไม่ว่าจะไกลแค่ไหนก็ส่งได้ถึงหน้าประตูบ้าน
เด็กทุกวันนี้ยิ่งน่าเป็นห่วง เพราะพ่อแม่ส่วนใหญ่ยังติดกับคำที่ว่า “กินข้าวเยอะๆ จะได้โตเร็วๆ” และก็พาลูกเข้าร้านอาหาร fast food และกินแต่อาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง ทำให้เด็กอ้วน และเด็กอ้วนก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่อ้วนตาม เพราะเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขากินอยู่มันไม่ดีต่อสุขภาพ
เด็กนั่งดูหนังการ์ตูนเขาจะเห็นแต่โฆษณาขนมที่ไม่ดีต่อสุขภาพทั้งนั้น เคยเห็นโฆษณาผักนึ่งสักครั้งในทีวีไหมครับ? ไม่มี! เพราะไม่ใช่สิ่งที่เราอยากเห็นอยากได้ยิน
เราต้องการเห็นคนหล่อๆ สวยๆ กินอาหารขยะ แต่ยังดูดี ไม่อ้วน หรือเด็กก็อยากเห็นเด็กกินขนมในโฆษณาแล้วแฮปปี้ วิ่งเล่นสนุกสนาน แล้วเราก็หลอกตัวเองต่อไปว่า “เห็นไหม? เขากินเขายังไม่อ้วนเลย”
เด็กจะซื้อขนมและกินของกินตามเพื่อน แต่เด็กจะกินอาหาร fast food เยอะและบ่อยกว่าเดิมเมื่อเห็นโฆษณาในทีวี รู้หรือยังครับทำไมลูกคุณถึงอ้อนเข้าแต่ KFC?
หน้าที่ของพ่อแม่คือเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก ปลูกฝังนิสัยรักสุขภาพกันตั้งแต่ครอบครัว เริ่มจากการทำอาหารเพื่อสุขภาพกินกันในครอบครัว ซื้อผลไม้สดมาแทนคุ๊กกี้และขนมเค้ก
คำแนะนำจากโค้ชเค
เพื่อนผมทุกคนสงสัยเหมือนกันว่าผมกินคลีนได้ยังไง? นมไขมัน 0% ผสมข้าวโอ๊ตและกล้วยไม่เห็นอร่อยเลย
ทุกคนรู้อยู่แล้วครับว่า อาหารที่ดีมีประโยชน์เป็นอย่างไร แต่ทำไมถึงเปลี่ยนนิสัยการกินไม่ได้? ที่ผมทำได้เพราะผมมีการตั้งเป้าหมาย
การมีเป้าหมายทำให้ผมมีการวางแผน มีวินัย เมื่อไหร่ที่เจออุปสรรค ผมจะย้อนกลับมาดูเป้าหมายและเหตุผลที่ทำให้ผมเริ่มรักสุขภาพ
มีหลายครั้งที่ผมก็แพ้ใจตัวเอง แต่ผมคิดแค่ว่าให้รางวัลกับตัวเอง เราทำผิดพลาดได้ แต่แค่เราต้องเรียนรู้จากมันแค่นั้นเองครับ แล้วปรับปรุงให้ดีขึ้น
ผมตามคนในโซเชียลมีเดียที่รักสุขภาพเหมือนกันหรือเป็นคนคิดบวก สิ่งแวดล้อมรอบตัวสำคัญมากๆครับ
การลดน้ำหนักและการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี เราควรเลือกอาหารที่เราคิดว่าสามารถกินได้นานๆ หรือพูดง่ายๆคือ กินได้ตลอดชีวิตครับ
อาหารที่เรากินต้องมีความสมดุลย์ของสารอาหารหลัก (Macronutrients) นั่นคือ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมันด้วย
การจำกัดอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งไม่ใช่วิธีที่ควรทำครับ เพราะเมื่อไหร่ที่เราอดใจไม่ไหว เสี่ยงมากที่จะกลับมากินหนักกว่าเดิม แล้วก็โยโย่
ผมแนะนำให้แยกอาหารออกเป็น 2 ประเภท นั่นคือ อาหารที่ดีต่อสุขภาพ และ อาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ถ้าอาหารที่เรากิน 80% เป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และอีก 20% เป็นอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ก็ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยมแล้วครับ
ถ้าคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์ อย่าลืมกดปุ่ม Share เพื่อเป็นกำลังใจด้วยนะครับ