น้ำอัดลม (Soda) อยากเลิกดื่มต้องทำอย่างไร?
น้ำอัดลม ไม่ว่าจะยี่ห้อไหนก็มีน้ำตาลและแคลอรี่สูงเหมือนกันหมด ยิ่งอากาศร้อนๆหลายคนอาจจะซัดเข้าไปเป็นขวดๆโดยไม่รู้ตัว
หนึ่งในวิธีลดน้ำหนักที่ได้ผลและทำได้เลยทันที คือ ลดหรือเลิกดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงๆ เช่น น้ำอัดลม แต่มีความตั้งใจมันยังไม่พอครับ เราต้องรู้จักเทคนิคดีๆเพื่อที่จะไปปรับใช้ด้วย
ในบทความนี้ ผมโค้ชเคจะมาอธิบายว่า ใน 1 ปี ถ้าเราหยุดเลิกดื่มน้ำอัดลมได้น้ำหนักจะลดลงกี่กิโลกรัม และจะตบท้ายด้วยวิธีเลิกดื่มน้ำอัดลมเป็นโบนัสเช่นเคยครับ ตามมาเลย!
น้ำอัดลม (Soda) มีกี่แคลอรี่?
น้ำอัดลม ไม่ว่าจะเป็นโค้ก เป๊ปซี่ หรือยี่ห้ออื่นๆ ต่างก็มีน้ำตาลและให้พลังงานสูงเหมืนอกันหมด ยกตัวอย่างเช่น โค้ก 1 กระป๋อง ขนาด 12 ออนซ์ จะให้พลังงานประมาณ 140 แคลอรี่ และน้ำตาลประมาณ 39 กรัม
หลายคนอาจจะคิดว่า “แค่ 140 แคลอรี่ เอง!” แต่จริงๆแล้วคนส่วนใหญ่จะดื่มน้ำอัดลมเยอะเกินไป และตามร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดตอนนี้ เราสามารถเติมน้ำอัดลมได้ไม่อั้นด้วย แค่เครื่องดื่มอย่างเดียว (ไม่รวมอาหารขยะ) พลังงานอาจจะเกือบ 500 แคลอรี่แล้ว
ดื่มอะไรหวานๆแทนน้ำอัดลมได้ไหม?
ประเด็นคือเครื่องดื่มทุกชนิดที่มีน้ำตาลสูงๆจะไม่ส่งผลดีต่อการลดน้ำหนัก เพราะมันจะเข้าไปกระตุ้นให้ตับอ่อนหลั่ง ฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) เข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ร่างกายสะสมไขมันส่วนเกินมากขึ้นนั่นเองครับ
หลายคนอาจจะเลิกดื่มน้ำอัดลมแล้วเปลี่ยนไปดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่ (Sport Drinks) แทน แต่เครื่องดื่มพวกนี้ก็มีน้ำตาลสูงเหมือนกันกับน้ำอัดลมเลยครับ
ยิ่งถ้าใครดื่มน้ำเกลือแร่หลังออกกำลังกาย ร่างกายยิ่งสะสมไขมันมากขึ้นกว่าเดิม ความพยายามและผลลัพท์ที่ได้จากการวิ่ง (แทบเป็นแทบตาย) จะหายไปในพริบตา
แน่นอนครับว่าเครื่องดื่มเกลือแร่จะมีแร่ธาตุที่สามารถช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น เช่น โซเดียม (Sodium) และ (1) โพแทสเซียม (Potassium) แต่ถ้าเปรียบเทียบกับปริมาณน้ำตาลแล้ว ผมคิดว่ามันไม่คุ้มกันเลยครับ และรู้ไหมครับว่าเราสามารถทำเครื่องดื่มเกลือแร่ได้เองง่ายๆ แค่เอา น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ เกลือ (ประมาณ 1 หยิบมือ) และน้ำเปล่ามาผสมเข้าด้วยกัน เราก็ได้เครื่องดื่มเกลือแร่ที่ที่มีประโยชน์โดยปราศจากน้ำตาลแล้วครับ
เครื่องดื่มอีกชนิดที่ผมไม่แนะนำให้ดื่มในช่วงลดน้ำหนัก คือ น้ำผลไม้ (Fruit Juice) จริงอยู่ที่ว่าน้ำผลไม้ได้ความหวานมาจากน้ำตาลธรรมชาติ แต่เราจะได้ประโยชน์มากกว่าถ้ากินผลไม้สด เพราะน้ำผลไม้บางยี่ห้อ (ชนิด) มีน้ำตาลและให้พลังงานสูงพอๆกับน้ำอัดลมเลย โดยเฉพาะน้ำแอปเปิ้ล น้ำองุ่น และน้ำส้ม เป็นต้น
ถ้าใครชอบดื่มน้ำผลไม้จริงๆ (เพราะมันดื่มง่าย) ผมแนะนำให้ดื่มน้ำมะเขือเทศ (Tomato Juice) น้ำแครนเบอร์รี่ (Cranberry Juice) และน้ำผลไม้ที่ทำจากผัก เป็นต้นครับ
ถ้าดื่มน้ำอัดลม 1 ปี น้ำหนักจะขึ้นกี่กิโลกรัม?
พลังงานแคลอรี่จากน้ำอัดลมแค่ 1 กระป๋อง อาจจะดูไม่เยอะเท่าไหร่ งั้นเรามาลองคำนวณดูกันครับว่า ภายใน 1 ปี พลังงานแคลอรี่จะปาเข้าไปกี่แสน!
- น้ำอัดลมขนาด 50 ออนซ์ (1.4 ลิตร): จะให้พลังงาน 600 แคลอรี่/วัน และ 219,000 แคลอรี่/ปี น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นประมาณ 28 กิโลกรัม/ปี
- น้ำอัดลมขนาด 40 ออนซ์ (1.2 ลิตร): จะให้พลังงาน 480 แคลอรี่/วัน และ 175,200 แคลอรี่/ปี น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นประมาณ 23 กิโลกรัม/ปี
- น้ำอัดลมขนาด 30 ออนซ์ (800 มิลลิลิตร): จะให้พลังงาน 360 แคลอรี่/วัน และ 131,400 แคลอรี่/ปี น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นประมาณ 17 กิโลกรัม/ปี
- น้ำอัดลมขนาด 20 ออนซ์ (600 มิลลิลิตร): จะให้พลังงาน 240 แคลอรี่/วัน และ 87,600 แคลอรี่/ปี น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นประมาณ 11 กิโลกรัม/ปี
- น้ำอัดลมขนาด 16 ออนซ์ (470 มิลลิลิตร): จะให้พลังงาน 192 แคลอรี่/วัน และ 70,080 แคลอรี่/ปี น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นประมาณ 9 กิโลกรัม/ปี
การดื่มน้ำอัดลมทุกวันไม่ใช่แค่จะทำให้อ้วนและเปลืองเงินเท่านั้นนะครับ งานวิจัยหลายชิ้นได้สรุปมาแล้วว่า เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงๆ เช่น น้ำอัดลม เครื่องดื่มเกลือแร่ และน้ำผลไม้ (ส่วนใหญ่) คือ สาเหตุต้นๆของ โรคอ้วน (2) ภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance) โรคหัวใจ และโรคเบาหวาน เป็นต้น
ผู้เชี่ยวชาญยังพบว่าถ้าเราเลิกดื่มน้ำอัดลมได้ เราจะนอนหลับดีขึ้น ฟันไม่ผุ มีพละกำลังมากขึ้น สุขภาพหัวใจแข็งแรง ไม่เครียด และห่างไกลจากโรคกระดูกพรุนด้วยครับ
น้ำอัดลม 0 แคลอรี่ ดีต่อการลดน้ำหนักหรือเปล่า?
ถ้ามองดูเผลินๆ น้ำอัดลมที่ไม่มีแลอรี่และน้ำตาลน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ว่าไหมครับ?
แต่งานวิจัยหลายชิ้นพบว่า สารให้ความหวานแทนน้ำตาล (Artificial Sweeteners) ที่อยู่ในน้ำอัดลม จะเข้าไปกระตุ้นให้สมองอยากกินอาหาร หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและแคลอรี่สูงๆมากขึ้นเป็นเท่าตัว มันเหมือนหนีเสือปะจระเข้นั่นแหละครับ เพราะฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือเลิกดื่มน้ำอัดลมครับ
อยากเลิกดื่มน้ำอัดลม มีวิธีไหนแนะนำบ้าง?
ก่อนอื่นผมอยากบอกก่อนว่า “การหักดิบ” หรือเลิกดื่มน้ำอัดลมทันที ไม่ใช่ทางออกที่ดี
วิธีที่คนส่วนใหญ่ทำตามแล้วได้ผล คือ ค่อยๆลดปริมาณลงเรื่อยๆ เช่น ถ้าเราเคยดื่มน้ำอัดลมวันละ 3 ขวด (450 มิลลิลิตร) ในอาทิตย์แรกก็อาจจะลดลงให้เหลือแค่ 2 ขวด เป็นต้นครับ อีกวิธีหนึ่งคือ เลือกดื่มน้ำอัดลมที่มีน้ำตาลน้อยกว่าแทน แล้วค่อยๆลดปริมาณลงเรื่อยๆ
เมื่อเราค่อยๆลดน้ำอัดลมลงเรื่อยๆ เราต้องแทนที่น้ำอัดลมที่หายไปด้วยน้ำเปล่าครับ พกขวดน้ำติดตัวไว้ตลอดเวลา กระหายเมื่อไหร่จะได้หยิบขึ้นมาดื่มได้ทันที ถ้าใครติดความซ่าส์ของน้ำอัดลม ก็อาจจะผสมน้ำโซดา มะนาว และน้ำเปล่า เพื่อเพิ่มรสชาติก็ได้ครับ
คำแนะนำจากโค้ชเค
เอาตรงๆ คือ เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงๆ เช่น น้ำอัดลม น้ำผลไม้ เครื่องดื่มเกลือแร่ ชานมเย็น ชาไข่มุก กาแฟนเย็น ฯลฯ ถ้านานๆดื่มทีมันก็ไม่ได้มีผลกับน้ำหนักหรอกครับ ใครจะไม่ชอบอะไรที่หวานๆเย็นๆ โดยเฉพาะตอนอากาศร้อนๆ
แต่เครื่องดื่มเหล่านี้จะเป็นปัญหา ถ้าเราไม่มีสติดื่มเยอะและบ่อยจนเกินไป การเลิกดื่มน้ำอัดลมไม่ใช่เรื่องยากอะไร เราแค่ค่อยๆลดปริมาณลงและดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้น และยิ่งเราสังเกตเห็นว่าพอเลิกดื่มแล้วหุ่นดีขึ้นและแข็งแรงขึ้น เรายิ่งจะมีความสุขมากขึ้นด้วยครับ
ถ้าชอบบทความนี้ ก่อนไปอย่าลืมกด Share ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ