คาร์บบล็อกเกอร์ คืออะไร ได้ผลจริงหรือเปล่า?
คาร์บบล็อกเกอร์ (Carb Blockers) คือ อาหารเสริมที่เข้าไปดักจับคาร์โบไฮเดรตจากอาหาร เช่น โดนัท คุ๊กกี้ ไอศครีม ช็อกโกแลต ฯลฯ หลายคนจึงซื้อมากินเพื่อที่จะกินได้ตามใจปาก โดยไม่ต้องกลัวอ้วน
ถ้าคุณเป็นเหมือนคนส่วนใหญ่ ก็คงแบบอยากกินอะไรก็ได้ กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน จะกินตอนเช้า-สาย-บ่าย-เย็น หุ่นก็ยังดีเหมือนเดิม (นี่คือโลกแห่งความฝัน) จนในที่สุดก็มีคนผลิตอาหารเสริมดักจับแป้งขึ้นมา (พระเจ้าจอร์จมันยอดมาก)
แต่เคยสงสัยไหมครับว่า จริงๆแล้วอาหารเสริมดักแป้งนี้ กินแล้วเห็นผลจริงหรือเปล่า และมีผลข้างเคียงต่อสุขภาพไหม?
วันนี้ผมโค้ชเค จะมาเคลียร์ข้อข้องใจทุกอย่างเช่นเคยครับ ตามมาโลด…
คาร์บบล็อกเกอร์ (Carb Blockers) คืออะไร?
เมื่อเรากินอาหารเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นคาร์โบไฮเดรต โปรตีน หรือ ไขมัน ร่างกายจะมีการหลั่งเอนไซม์ (Enzyme) ออกมาเพื่อย่อยและดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด หลังจากนั้น เบต้าเซลล์ (Beta Cell) ในตับอ่อน (Pancreas) ก็จะหลั่งฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ออกมาเพื่อลำเลียงน้ำตาลกลูโคส (Glucose) ไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ และบางส่วนจะถูกเก็บไว้เป็นเซลล์ไขมันด้วย
คาร์บบล็อกเกอร์ (Carb Blockers) คือ อาหารเสริมที่จะเข้าไปกีดขวาง (Block) การทำงานของเอนไซม์ที่จะมาย่อยสลายคาร์โบไฮเดรตจากอาหารที่เรากินเข้าไป เช่น ทุเรียน ข้าวสวย และผลไม้อบแห้ง เมื่อไม่มีเอนไซม์เข้ามาย่อย ร่างกายก็ไม่สามารถดูดซึมคาร์โบไฮเดรตเข้าสู่กระแสเลือดได้ เมื่อไม่มีแคลอรี่ ก็ไม่มีไขมันและไม่อ้วนไงหละครับ
ส่วนประกอบสำคัญในอาหารเสริมดักแป้ง คือ สารยับยั้งเอนไซม์ที่ชื่อว่า Alpha-Amylase Inhibitors ซึ่งชื่อก็จะเปลี่ยนไปตามแหล่งที่มา เช่น คาร์บบล็อกเกอร์ส่วนใหญ่จะสกัดมาจากถั่วขาว (White Kidney Beans) จะมีสารยับยั้งเอนไซม์ Phaseolus Vulgaris เป็นต้น
ใครที่เคยเข้าคลินิกลดน้ำหนัก คุณหมออาจจะเคยจ่ายยาที่มีชื่อว่า Alpha-Glucosidase Inhibitors (AGIs) ซึ่งยาตัวนี้จะช่วยลดน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานนั่นเอง
แต่ในบทความนี้ ผมจะอธิบายคาร์บบล็อกเกอร์ที่สกัดจากพืชตระกูลถั่วเท่านั้น เพราะมันคือส่วนประกอบหลักของอาหารเสริมดักแป้งที่มีขายในท้องตลาดตอนนี้ครับ
หลักการทำงานของคาร์บบล็อกเกอร์
ก่อนอื่น ผมอยากจะให้ทุกคนได้รู้จัก คาร์โบไฮเดรตจากอาหารที่เรากิน ทั้ง 2 ชนิดก่อน นั่นคือ คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว (Simple Carbohydrate) และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (Complex Carbohydrate) แล้วคาร์บ 2 ตัวนี้ เหมือนและแตกต่างกันอย่างไร?
คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว จะพบมากในอาหารจำพวก น้ำอัดลม ผลไม้อบแห้ง โยเกิร์ตรสธรรมชาติ และนมวัว 100% เป็นต้น ส่วน คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน จะพบมากในอาหารที่มีเส้นใยสูงๆ เช่น ข้าวกล้อง มันเทศ และขนมปังโฮลวีท 100% เป็นต้น
ข้อดีที่เด่นๆของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน คือ ร่างกายเราจะใช้เวลานานกว่าในการย่อย เมื่อเรากินคาร์บชนิดนี้เข้าไป เราจึงอิ่มท้องนานขึ้น และระดับน้ำตาลในเลือดก็จะค่อยๆเพิ่มสูงขึ้นและอยู่ในระดับที่คงที่ ดังนั้นถ้าเราเน้นกินอาหารที่มีคาร์บเชิงซ้อนเป็นประจำ ความเสี่ยงโรคเบาหวานและโรคอ้วน ก็จะน้อยลงครับ
อย่างที่ผมเกริ่นไป คาร์บบล็อกเกอร์จะไปกีดขวางการทำงานของเอนไซม์ที่จะเข้ามาย่อยสลายคาร์โบไฮเดรต ร่างกายจึงไม่สามารถดูดซึมสารอาหารได้ เมื่อไม่ถูกย่อยสลายคาร์โบไฮเดรตจากอาหารที่เรากินเข้าไป จะถูกส่งตรงไปยังลำไส้ใหญ่เพื่อขับออกเป็นอุจจาระ
มาถึงตรงนี้ ทุกอย่างฟังแล้วดูดีไปหมดเลย ว่าไหมครับ? แต่เดี๋ยวก่อน…เราต้องมาดูว่างานวิจัยที่น่าเชื่อถือเขาได้ทำการศึกษาและสรุปรายงานว่าอย่างไรบ้าง ตามมาเลยครับ
ดักแป้งได้จริงหรือแค่หลอก?
งานวิจัยชิ้นนี้ที่จัดทำขึ้นเมื่อปี 2015 พบว่า คาร์บบล็อกเกอร์สามารถช่วยลดพลังงานแคลอรี่จากคาร์โบไฮเดรตจากอาหารได้มากถึง 50-65%!
แต่พอผมอ่านดูดีๆ วิธีวัดผลของนักวิจัยมันดูขัดแย้งกันตรงที่ เขาแค่วัดที่ประสิทธิภาพของคาร์บบล็อกเกอร์ ในการกีดขวางการทำงานของเอนไซม์ที่จะมาย่อยคาร์บเท่านั้น แต่จริงๆแล้วปริมาณคาร์บที่ร่างกายได้รับอาจจะมากกว่านั้นเป็นหลายเท่าตัว
เพราะหลังจากนั้นมีงานวิจัยอีกชิ้นที่พบว่า คาร์บบล็อกเกอร์สามารถกีดขวางการทำงานของเอนไซม์ได้ถึง 97% แต่ปริมาณคาร์บที่กำจัดออกไปยังลำไส้ใหญ่นั้น มีแค่ 7% เท่านั้น นั่นหมายความว่า 93% ของคาร์โบไฮเดรตจากอาหารที่เรากินเข้าไป ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดเป็นพลังงานแคลอรี่นั่นเองครับ
หลังจากที่ได้อ่านงานวิจัย 2 ชิ้นนี้ ผมถึงได้รู้ว่า จริงๆแล้วคาร์บบล็อกเกอร์ทำหน้าที่แค่ไปชะลอการทำงานของเอนไซม์ที่จะเข้ามาย่อยแป้งแค่นั้นเอง ร่างกายเราไม่ได้โง่นะครับ ไม่ว่าอย่างไรมันก็จะหาวิธีดูดซึมอาหารเข้าสู่กระแสเลือดให้ได้มากที่สุด (ยกเว้นแต่เราจะป่วยหรือมีความผิดปกติบางอย่าง)
ยิ่งไปกว่านั้น งานวิจัยพบว่า คาร์บล็อกเกอร์ ไม่สามารถดักน้ำตาลจากอาหารแปรรูป เช่น น้ำตาลฟรุกโตส (Fructose) น้ำตาลซูโครส (Sucrose) และน้ำตาลกลูโคส (Glucose) ได้แม้แต่นิดเดียว
จริงๆแล้ว ผมก็ไปพบงานวิจัยอีกหลายชิ้นที่พบว่า คาร์บบล็อกเกอร์สามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริง แต่งานวิจัยเหล่านั้นมีขนาดเล็กมาก และแถมยังได้เงินสนับสนุนจากบริษัทผลิตอาหารเสริมอีกต่างหาก การขัดกันของผลประโยชน์มันชัดเจนเกินไป
ถ้าซื้อมากิน จะมีผลข้างเคียงอะไรหรือเปล่า?
คาร์บบล็อกเกอร์ ถือว่าเป็นอาหารเสริมที่แทบจะไม่พลผลข้างเคียงเลย แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ควรเลือกซื้อจากผู้ผลิตที่น่าเชื่อถือ และต้องอ่านฉลากเพื่อดูส่วนผสมก่อนทุกครั้งด้วย
ใครที่แพ้อะไรง่ายๆหรือกินยาอะไรอยู่ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนซื้ออาหารเสริมทุกชนิด โดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวาน เพราะคาร์บบล็อกเกอร์อาจจะมีผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดมีระดับต่ำเกินไปได้
ธุรกิจอาหารเสริม
โลกแห่งความจริงอันโหดร้ายคือ ผู้ผลิตอาหารเสริม (ส่วนใหญ่) ไม่ได้เอาสุขภาพเราเป็นที่ตั้ง เขาผลิตสินค้าขึ้นมาก็เพื่อหาผลกำไร เราจึงเห็นพาดหัวข่าวอยู่ประจำว่ามีคนเสียชีวิตจากการกินอาหารเสริม โดยเฉพาะอาหารเสริมลดความอ้วน เช่น ยาลดน้ำหนัก ยาดักไขมัน และยาดักแป้ง แม้ว่าองค์การอาหารและยาจะเข้มงวดขึ้น แต่ปริมาณอาหารเสริมในตลาดมีเยอะมาก และการซื้อขายก็ทำได้ง่ายแค่ปลายนิ้วกด
ดังนั้น ผมแนะนำว่าเราต้องศึกษาหาข้อมูลเองด้วย อย่ามัวแต่รอพึ่ง อ.ย. เพียงอย่างเดียว
ควรซื้อมากินไหม?
อย่างที่ผมเกริ่นไปว่า ถึงแม้ว่าคาร์บบล็อกเกอร์จะไม่มีผลข้างเคียงต่อร่างกาย แต่งานวิจัยที่น่าเชื่อถือที่ศึกษาผลลัพท์ของคาร์บบล็อกเกอร์ยังมีน้อยเกินไป เราต้องมาถามตัวเราเองแล้วครับว่า พอซื้อมากินแล้วเราสบายใจขึ้น และมีกำลังใจในการลดน้ำหนักเพิ่มขึ้นหรือเปล่า?
สำหรับผมแล้วคำว่าอาหารเสริมมันก็คือ “เสริม” จากอาหารหลักครับ การลดน้ำหนักหรือเผาผลาญไขมันทางลัด ไม่มีในโลก เราต้องค่อยๆปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินแบบค่อยเป็นค่อยไป และออกกำลังกายให้มากขึ้น นี่คือวิธีแก้ปัญหาที่ได้ผลในระยะยาวครับ
ระหว่างที่ผมเขียนบทความนี้ มีคนถามเข้ามาว่า ถ้ากำลังลดน้ำหนักแบบพร่องแป้ง (Keto Diet) อยู่ จะกินคาร์บบล็อกเกอร์เพื่อกำจัดแป้งได้หรือเปล่า? ตอบเลยครับว่า ไม่เหมาะอย่างยิ่ง เพราะปริมาณคาร์โบไฮเดรตแค่นิดเดียวก็จะทำให้ ภาวะคีโตซิส (Ketosis) หายไปเลย
ถ้าคุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์ รบกวนกดปุ่ม Share ด้านล่างด้วยนะครับ ขอบคุณครับ