ฟักทอง (Pumpkin) กินแล้วอ้วนไหม?
ฟักทอง (Pumpkin) คือ หนึ่งในผลไม้ที่มีประโยชน์มากมาย จะเอามาทำเมนูอะไรก็อร่อย ไม่ว่าจะเป็น น้ำฟักทอง ฟักทองปั่น ฟักทองนึ่ง สังขยาฟักทอง และแกงเลียง เป็นต้น
วันนี้ผมโค้ชเคจะพาทุกคนไปดูกันว่า ฟักทองลูกเหลืองๆมีสารอาหารที่มีประโยชน์อะไรบ้าง และกินเยอะๆจะอ้วนหรือเปล่า อย่ารอช้า…ตามมาโลด
ถามหน่อยครับ: คุณกำลังมองหาวิธีลดความอ้วนโดยไม่ต้องนับแคลฯ หรือเปล่าครับ? ถ้าใช่ ผมได้อธิบายทุกอย่างที่คุณต้องรู้ในวีดีโอด้านล่างแล้วครับ
ฟักทอง (Pumpkin) ดีต่อสุขภาพและการลดน้ำหนักไหม?
ก่อนอื่นผมขอเกริ่นก่อนว่า ฟักทอง (Pumpkin) คือ ผลไม้นะครับ (ไม่ใช่ผัก) เพราะมันมีเมล็ดนั่นเองและเมล็ดฟักทองก็ยังเป็นของกินเล่นที่อัดเม็ดไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ ที่นิยมในกลุ่มคนลดน้ำหนักด้วย
ฟักทองอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ เช่น วิตามินและแร่ธาตุ และยังให้พลังงานแคลอรี่น้อยมาก จึงเหมาะที่จะกินในช่วงลดน้ำหนัก
คุยเฟื้องเรื่องจริง
- งานวิจัยพบว่า แร่ธาตุโพแทสเซียม (Potassium) ในฟักทอง มีส่วนช่วงลดความดันโลหิต จึงลดความเสี่ยงโรคหัวใจครับ
- สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) ในฟักทอง มีส่วนช่วยลดการเสื่อมสภาพของดวงตา
- ฟักทองดิบลูกเหลืองๆ ถ้าเก็บไว้ในที่ร่มและเย็น จะอยู่ได้นานถึง 2 เดือน
- สายรักสุขภาพ (ฝรั่ง) จะใช้ พูเรฟักทอง (Pumpkin Puree) แทนเนยและน้ำมันในเมนูอบต่างๆ
สารอาหารที่มีประโยชน์ในฟักทอง (Nutrition Profile)
ฟักทองเป็นผลไม้ที่ความหนาแน่นของพลังงานสูง (Calorie-dense) เพราะว่าฟักทองให้พลังงานแคลอรี่ต่ำ แต่มีสารอาหารที่มีประโยชน์สูง
ฟักทอง (ดิบ) 100 กรัม จะให้พลังงานและสารอาหารดังนี้ครับ
สารอาหาร (Nutrients) | ปริมาณ (Amounts) |
---|---|
พลังงาน (Energy) | 26 แคลอรี่ |
คาร์โบไฮเดรต (Carbs) | 7 กรัม |
โปรตีน (Protein) | 1 กรัม |
ไขมัน (Fat) | 0.1 กรัม |
เส้นใยอาหาร (Fiber) | 2% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน |
วิตามินเอ (Vitamin A) | 170% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน |
วิตามินเค (Vitamin K) | 24% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน |
วิตามินซี (Vitamin C) | 15% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน |
โพแทสเซียม (Potassium) | 8% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน |
วิตามินอี (Vitamin E) | 5% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน |
ธาตุเหล็ก (Iron) | 4% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน |
วิตามินบี 6 (Vitamin B6) | 5% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน |
แมกนีเซียม (Magnesium) | 3% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน |
อย่างที่เห็นครับ ฟักทองให้พลังงานแคลอรี่น้อยมาก ถ้ากินวันละครึ่งกิโลกรัม (500 กรัม) เราก็ได้รับพลังงานแค่ 130 แคลอรี่ เท่านั้น
แต่ผมขอเตือนไว้อย่างหนึ่งนะครับว่า ถ้ากินฟักทองมากๆติดต่อกันหลายวัน มื้อและเท้าอาจจะเหลืองมากขึ้นได้ เพราะฟักทองมีสารต้านอนุมูลอิสระ เบต้าแคโรทีน (Beta Carotene) สูงมาก ซึ่งร่างกายจะเปลี่ยนไปเป็นวิตามินเอนั่นเองครับ
ถ้าใครกินฟักทองถึงระดับที่ตัวเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ผมแนะนำให้หยุดกินไปสักพักก่อน แล้วร่างกายจะกลับมาเป็นปกติครับ
แต่ถ้าใครตัวยังเหลืองอยู่หลังจากหยุดกินฟักทองไป ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เพราะปัญหาอาจจะเกิดจากความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ ตับ และไต เป็นต้นครับ
ฟักทองช่วยลดน้ำหนักได้ไหม? (Weight Loss Aid)
ฟักทองมีสารอาหารที่มีประโยชน์สูง โดยเฉพาะเส้นใยอาหาร และให้พลังงานแคลอรี่ต่ำมาก จึงเหมาะที่จะเป็นอาหารลดน้ำหนัก โดยทั่วไปผมจะะแนะนำให้กินฟักทองกับมื้อเย็น อาจจะใช้แทนข้าวหรือสลัดก็ได้ครับ เพราะมันจะช่วยให้อิ่มท้องนานไปถึงเช้า
แน่นอนว่า เมนูที่เราควรกิน คือ ฟักทองนึ่ง ฟักทองต้ม ฟักทองปิ้ง (ย่าง) และซุปฟักทอง เพราะเมนูเหล่านี้จะมีแค่ฟักทองอย่างเดียว
แต่ถ้าเราเอาไปทำเป็น แกงฟักทอง (หมู/เนื้อ/ไก่) หรือสังขยาฟักทอง พลังงานก็จะเพิ่มขึ้นทันที เพราะเราต้องใส่ทั้งเนื้อสัตว์ กะทิ และเครื่องปรุงอื่นๆเข้าไปด้วย ซึ่งอาจจะไม่ส่งผลดีต่อการลดน้ำหนักครับ
สรรพคุณอื่นๆของฟักทอง ที่ควรรู้ (Other Health Benefits)
ที่จริงงานวิจัยที่ศึกษาประโยชน์ของฟักทองโดยตรงยังมีน้อยมากครับ แต่ฟักทองมี สารอาหารรอง (Micronutrients) สูงมาก ซึ่งเราสามารถอ้างอิงงานวิจัยได้
ไปดูกันต่อครับว่า ถ้ากินฟักทองบ่อยๆจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง
แก้ปัญหา Metabolic Syndrome
Metabolic Syndrome คือ กลุ่มอาการที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วนและโรคหัวใจ นั่นคือ ความดันโลหิต น้ำตาลในเลือด คอเลสเตอรอลเลว (LDL) และไตรกลีเซอไรด์ อยู่ในระดับที่สูงเกินไปนั่นเองครับ
(1) งานวิจัยพบว่า เบต้าแคโรทีน (Beta Carotene) ที่ได้จากพืช เช่น ฟักทอง สามารถช่วยลดความเสี่ยงของปัญหาสุขภาพ ที่เกิดจาก Metabolic Syndrome ของผู้เข้าทดลองที่เป็นคนญี่ปุ่นได้ครับ
อีกอย่าง เส้นใยอาหาร วิตามินซี และโพแทสเซียม คือ สูตรวิตามินและแร่ธาตุที่ดีในการที่จะช่วยลดความดันโลหิต และกำจัดคอเลสเตอรอลเลวอีกด้วยครับ
ฟักทองช่วยให้ผิวสวย (Healthy Skin)
ผมว่าถ้าพูดถึง วิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีน สาวๆหลายคนต้องรู้จักกันดีอยู่แล้ว เพราะทั้ง 3 สารอาหารนี้มีส่วนช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด และยังช่วยให้ผิวแลดูอ่อนกว่าวัยด้วย (2)
ฟักทองช่วยในการมองเห็น (Eye Health)
ร่างกายเราจะเปลี่ยนเบต้าแคโรทีนไปเป็นวิตามินเอ ที่จะเข้าไปช่วยบำรุงสายตาและการมองเห็น
เบต้าแคโรทีนจะช่วยให้ จอประสาทตา (Retina) ที่อยู่บนผิวด้านในของดวงตา สามารถรับแสงและแปลสัญญาณไปยังประสาทได้ดีขึ้น
อีกอย่าง สายตาและการมองเห็นจะเสื่อมสภาพไปเรื่อยๆตามอายุ (ซึ่งเป็นเรื่องปกติ) (3) แต่งานวิจัยพบว่า การผสมผสานระหว่างวิตามินและแร่ธาตุ (ซึ่งมีในฟักทองเหมือนกัน) นั่นคือ ธาตุสังกะสี (Zinc) ธาตุทองแดง (Copper) วิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีน สามารถช่วยลดความเสี่ยงของ โรคจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ (Age-Related Macular Degeneration/AMD) ได้
คำแนะนำจากโค้ชเค (My Two Cents)
ถ้าเป้าหมายของเรา คือ อยากลดน้ำหนักและมีสุขภาพที่ดี ฟักทองควรเป็นหนึ่งในอาหารที่เรากินเป็นประจำ เพราะฟักทองมีสารอาหารที่มีประโยชน์สูง แต่มีพลังงานแคลอรี่น้อยมาก
ท้ายสุด ผมไม่แนะนำให้กินฟักทองเป็นของหวาน โดยเฉพาะเมนู สังขยาฟักทอง ขนมฟักทอง (ถ้วย) และบวชฟักทอง เพราะเมนูเหล่านี้มีน้ำตาลและพลังงานแคลอรี่สูง ซึ่งจะไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพและการลดน้ำหนักครับ
ถ้าชอบบทความนี้ อย่าลืมกด Share ด้วยนะครับ
ไม่พลาดคอนเทนต์ดีๆ Follow Us ตามช่องทางด้านล่างเลยครับ
Fitterminal TV (YouTube) | Fitterminal Facebook | Fitterminal Instagram | Fitterminal.com