ทำไม มื้อโกง (Cheat Meal) ถึงไม่เหมาะกับผู้หญิง
มื้อโกง (Cheat Meal) หรือ “มื้อปล่อยผี” ผมเชื่อว่าคนลดน้ำหนักคงคุ้นหูกันดี เพราะเป็นมื้อที่เราจะกินอะไรก็ได้บนโลกนี้
แน่นอนว่าในช่วงลดน้ำหนัก เราต้องควบคุมแคลอรี่ให้น้อยกว่าที่ร่างกายเผาผลาญ และต้องกินอาหารคลีนเป็นหลักด้วย มันก็คงมีบ้างที่จะอดคิดถึงรสชาติอาหารฟาสต์ฟู้ด หรือ เมนูโปรดอื่นๆที่เคยกินไม่ได้ ก็เลยเกิด “มื้อปล่อยผี” ขึ้นมาสนองนี้ด (Need)
กูรูหลายคนก็ยังบอกว่า การมีมื้อโกงนั้นจะช่วยให้เราลดน้ำหนักได้ดีขึ้นในระยะยาว แต่ส่วนตัวแล้วผมมองว่ามันใช้ไม่ได้สำหรับทุกคน
ในบทความนี้ ผมโค้ชเคจะมาอธิบาย 5 เหตุผล ว่าทำไมมื้อโกงถึงไม่เหมาะกับผู้หญิงที่ต้องการลดน้ำหนัก พร้อมแล้วก็ตามมาเลยครับ
มื้อโกง (Cheat Meal) คืออะไร?
ก่อนอื่นเราต้องมารู้จักความหมายของมื้อโกงกันก่อน
มื้อโกง (Cheat Meal) คือ การกินอาหารชนิดที่ไม่อยู่ในแผนการลดน้ำหนัก ส่วนใหญ่แล้ว เมนูในมื้อโกงจะมีส่วนผสมของ น้ำตาล (Sugar) ไขมัน (Fat) และแคลอรี่ (High Calories) ในปริมาณที่สูงริบริ่ว เช่น พิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์ และเฟรนช์ฟราย เป็นต้น แต่ปัญหาของคนส่วนใหญ่ คือ พอมี “มื้อ” โกง ปุ๊บ ก็จะลามไปเป็น “วัน” โกง โดยไม่รู้ตัว
สูตรและวิธีลดน้ำหนักส่วนใหญ่ ต่างก็มีมีมื้อโกงในตารางเป็นเรื่องปกติครับ เพราะหลายคนเชื่อว่า การที่เรางดกินอาหารที่ชอบไป จะทำให้ร่างกายก่อกบฏทีหลัง ทำให้การลดน้ำหนักล้มเหลวในที่สุด แถมบางคนยังบอกว่า มื้อโกงเป็นการทำให้ร่างกายปรับตัวตามพลังงานที่ขึ้นลง และช่วยเร่งระบบเผาผลาญไปในตัวด้วย
ส่วนตัวแล้ว ผมไม่แนะนำและไม่เห็นด้วยกับมื้อโกงที่บอกว่า “กินอะไรก็ได้” เพราะจริงๆแล้ว มื้อโกงควรเป็นมื้อที่เรากินอาหารที่มีประโยชน์ (ตามแผน) แต่กินในปริมาณที่เยอะขึ้นมากกว่า (เดี๋ยวผมจะอธิบายตอนท้าย)
ลองนึกภาพตามนะครับ ในแต่ละอาทิตย์เราเริ่มมีวินัยและมองเห็นความเปลี่ยนแปลงชัดขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายเริ่มปรับตัวกับอาหารดีมีประโยชน์มากขึ้น และตัวเลขบนตราชั่งก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง จู่ๆเราก็จะกลับไปกินอาหารที่ทำให้เราอ้วนตั้งแต่ตอนแรก มันไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ จริงไหมครับ?
ผมเลยจะมาอธิบายถึงเหตุผล ว่าทำไมมื้อโกงถึงไม่เหมาะกับผู้หญิงที่ต้องการลดน้ำหนัก มาดูเหตุผลแรกกันเลยครับ
มื้อโกงมีแต่สารเคมี
อย่างที่ผมเกริ่นไป มื้อโกงส่วนใหญ่จะเป็นอาหารแปรรูป หรือ อาหารฟาสต์ฟู้ด เช่น ไส้กรอก แฮมเบอร์เกอร์ โดนัท และพิซซ่า เป็นต้น ซึ่งอาหารเหล่านี้มี ไขมันทรานส์ (Trans Fat) สูงมาก
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช) ก็ได้ออกมาเตือนถึงอันตรายของไขมันทรานส์ ว่ามันคือต้นเหตุของ โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง และโรคหัวใจ
ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ไขมันทรานส์ก็เหมือนถุงพลาสติกนั่นแหละครับ เพราะถุงพลาสติก 1 ถุง ต้องใช้เวลาย่อยอย่างน้อย 100 ปี
ไขมันทรานส์ก็เหมือนกัน กว่าร่างกายจะย่อยสลายและกำจัดมันออกไปได้ ก็ต้องใช้เวลานานเหมือนกันกับถุงพลาสติกนั่นเองครับ
ในเมื่อเราดูแลเรื่องอาหารและมีวินัยในการออกกำลังกายดีอยู่แล้วแล้ว เราจะไปเอามันเข้ามาในร่างกายอีกทำไมหละครับ?
มื้อโกงพาไปหาต้นเหตุ
ใช่ครับ มื้อโกงพาเรากลับไปกินอาหารเดิมๆที่ทำให้เราอ้วน หรือ มีปัญหาสุขภาพตั้งแต่ตอนแรก และเราก็รู้ดีอยู่แล้วว่ามันไม่ดี
ผมเชื่อว่าหลายคนอาจจะบอกว่า “นานๆที ไม่เป็นไรหรอก” ผมก็เห็นด้วยครับที่ว่า คนที่กิน McDonald อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ก็ต้องมีสุขภาพดีกว่าคนที่กินทุกวันอยู่แล้ว แต่จะดีกว่าไหมครับ ถ้าเราไม่กินมันเลย แล้วเปลี่ยนไปกินอย่างอื่นที่มีประโยชน์แทน?
มื้อโกงทำให้เกลียดตัวเองมากขึ้น
ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่จะหงุดหงิดทุกทีที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ทั้งๆที่ผมก็รู้ว่าไม่ควรกินแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นนั้น แต่ตอนนั้นทั้ง โดพามีน (Dopamine) และเอ็นดอร์ฟิน (Endorphins) ก็หลั่งออกมาเยอะเหลือเกิน!
ผมว่าสมองเรานี่แหละครับ คือตัวปัญหา เพราะตอนที่เราได้กินมื้อโกงเข้าไป เราจะมีความสุขเหมือนบินได้ ยิ่งถ้าใครควบคุมอาหารเป็นเวลาติดต่อกันหลายเดือน พอได้มาลิ้มรสเบอร์เกอร์สักชิ้น ความรู้สึกเหมือนปุ่มรับรสได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาทันใด
แต่อารมณ์แห่งความสุขมันแค่ชั่วคราวจริงๆครับ พอเรากินเสร็จก็จะกลับมาเครียด และผิดหวังกับตัวเองอีก
มื้อโกงทำให้ร่างกายไม่ชินกับสิ่งดีๆ
ร่างกายเรามีการทำงานที่ซับซ้อนมาก และกว่าจะปรับตัวกับอะไรได้ก็ต้องใช้เวลานานและความพยายามสูง
ผมว่าคนที่ลดน้ำหนักสูตร Keto Diet (กินไขมันเพื่อลดไขมัน) น่าจะรู้ดี เพราะช่วงแรกๆที่งดกินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงๆไป ความรู้สึกเหมือนกับว่าวิญญาณหลุดออกจากร่าง ใช่ไหมครับ?
นั่นเป็นเพราะว่า ร่างกายต้องปรับตัวที่จะเปลี่ยนไขมันมาเป็นพลังงานแทนคาร์โบไฮเดรต แต่พอร่างกายปรับตัวได้แล้ว การลดน้ำหนักก็จะไปได้ดี เหมือนว่าวที่ติดลมบน
ทีนี้ การกินอาหารคลีนเพื่อลดน้ำหนักก็เหมือนกันครับ ถ้าเรากินอาหารที่มีประโยชน์ไปเรื่อยๆ ร่างกายก็จะเริ่มปรับตัว เช่น จะใช้ไขมันส่วนเกินมาเป็นพลังงานมากขึ้น สร้างมวลกล้ามเนื้อมากขึ้น และปุ่มรับรสก็เริ่มลืมรสชาติของอาหารขยะไป เป็นต้น
สิ่งที่ผมอยากแนะนำคือ พยายามกินอาหารที่มีประโยชน์ให้ได้มากและนานที่สุด มากจนถึงขั้นที่เรารู้สึกได้ว่า ปุ่มรับรสเริ่มชินกับอาหารคลีน และไม่อยากจะกินอาหารขยะอีกต่อไป
”มื้อโกง” กลายเป็น “วันโกง”
ผมก็เป็นอีกคนที่ค่อนข้างติดอะไรง่ายมาก และจิตใจไม่ค่อยเข้มแข็งกับสิ่งยั่วยุเท่าไหร่ โดยเฉพาะอาหาร
เชื่อไหมครับว่า ก่อนไปถึง Burger King ผมกะว่าจะกินแค่ Whopper ชิ้นเดียว แต่พอไปถึงกลับจัดหนักจนพนักงานนึกว่าปอบลง และแถมยังมีเบอร์เกอร์ลดราคาเหลือแค่ 59 บาท ถูกขนาดนี้ก็ต้องซื้อกลับมากินที่บ้านสิครับ
สรุปมื้อโกงผมก็กลายเป็นวันโกงที่มาพร้อมกับแคลอรี่ประมาณ 6,000 แคลอรี่!
ใครที่คิดว่ามีจิตใจที่เข้มแข็ง ก็อาจจะไม่เป็นเหมือนกรณีนี้ แต่ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ก็คงเบรกแตกเหมือนผมนี่แหละ และนี่ก็คือหนึ่งเหตุผลที่เราไม่ควรมีมื้อโกง
คำแนะนำจากโค้ชเค
มื้อโกงที่ดีต่อสุขภาพสำหรับผม คือ กินอาหารที่มีประโยชน์ หรือ อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงๆ เช่น ช็อกโกแลต มะม่วง แตงโมง หรือทุเรียน ในปริมาณที่เยอะขึ้นเป็นต้น เพราะถึงแม้ว่าจะมีแคลอรี่เกินมาบ้าง แต่แคลอรี่ที่ได้จากอาหารเหล่านี้จะเผาผลาญออกง่ายกว่าไขมันทรานส์ครับ
ถ้าเราอยากมีมื้อโกงที่ถูกต้องโดยไม่อ้วน เราควรกินอาหารแบบ Calorie Cycling ดีกว่า ซึ่งหลักการมีดังนี้ครับ
ถึงแม้ว่าในช่วงลดน้ำหนัก เราต้องกินให้น้อยกว่าที่ร่างกายเผาผลาญ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องกินอาหารในปริมาณเท่าเดิมทุกวัน เพราะบางทีเราก็ต้องมีไปเจอเพื่อน หรือไปกินข้าวกับที่ทำงานบ้าง ใช่ไหมครับ?
ดังนั้นวันที่เราควบคุมแคลอรี่ได้ ก็อาจจะกินน้อยลง และไปกินเยอะขึ้นในวันที่ต้องออกไปกินข้าวข้างนอก
สมมุติว่าพลังงานแคลอรี่ต่อวัน คือ 1,500 แคลอรี่ ตัวอย่าง Calorie Cycle จะเป็นประมาณนี้ครับ
- วันจันทร์ :1,200 แคลอรี่
- วันอังคาร :1,200 แคลอรี่
- วันพุธ :2,100 แคลอรี่
- วันพฤหัสบดี : 1,200 แคลอรี่
- วันศุกร์ :1,200 แคลอรี่
- วันเสาร์ : 1,300 แคลอรี่
- วันอาทิตย์ : 2,300 แคลอรี่
เราอาจจะมีการปรับเปลี่ยนปริมาณพลังงานแคลอรี่ตามสถาณการณ์ เช่น ถ้านัดเพื่อนทานข้าววันเสาร์อาทิตย์ เราอาจจะกินน้อยลงตั้งแต่วันพุธถึงวันศุกร์ เพื่อที่จะกินข้าวกับเพื่อนได้เยอะขึ้นครับ แต่ใน 1 อาทิตย์ ปริมาณพลังงานแคลอรีไม่ควรเกิน 10,500 แคอลรี่ (1,500 x 7)
มาถึงตรงนี้แล้ว ทุกคนมีความคิดเห็นอย่างไรกันบ้างครับ? ถ้าเห็นต่างหรือมีข้อแนะนำอะไร คอมเมนท์ แชร์ความคิดเห็นไว้ด้านล่างได้เลยนะครับ
ถ้าชอบบทความนี้ อย่าลืมกดปุ่ม Share ด้านล่างนะครับ ขอบคุณครับ